รีเซต

ย้อนรอยบทบาทเทคโนแครต รัฐมนตรีคนนอกที่เคยกำหนดทิศทางไทย

ย้อนรอยบทบาทเทคโนแครต รัฐมนตรีคนนอกที่เคยกำหนดทิศทางไทย
TNN ช่อง16
10 กันยายน 2568 ( 18:47 )
15

รัฐมนตรีสายเทคโนแครตในรัฐบาลไทยตั้งแต่อดีต

การเมืองไทยตลอดหลายทศวรรษไม่เคยพึ่งพาแต่เพียงนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งหรือสายทหาร หากแต่ยังอาศัยบุคคลที่ก้าวออกมาจากโลกวิชาการ ราชการ และสถาบันการเงิน เข้ามารับบทบาทเป็นรัฐมนตรีที่ถูกเรียกว่า “เทคโนแครต” กลุ่มคนเหล่านี้ใช้ทุนความรู้เชิงลึกและประสบการณ์ในระบบเศรษฐกิจมหภาคมาประคับประคองประเทศในห้วงเวลาที่ท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคอุตสาหกรรม การเปิดเสรีทางการค้า หรือการรับมือกับวิกฤตการเงินครั้งใหญ่

ตลอดเส้นทางการเมืองไทย เทคโนแครตเคยมีบทบาทในหลายรัฐบาลและแต่ละช่วงเวลาสะท้อนถึงเงื่อนไขของประเทศ ทั้งในยุคที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างมั่นคงและช่วงที่ต้องเผชิญแรงกดดันจากวิกฤตโลก บทความนี้จะพาย้อนดูการปรากฏตัวของรัฐมนตรีสายเทคโนแครตในรัฐบาลไทยแต่อดีต เพื่อทำความเข้าใจว่าบุคคลเหล่านี้มีส่วนช่วยกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและการบริหารบ้านเมืองอย่างไร 

ยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ถูกจดจำในฐานะช่วงเวลาที่เทคโนแครตมีพื้นที่ทำงานสูง เศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่เส้นทางอุตสาหกรรมและการส่งออก หน่วยงานวางแผนและสถาบันการเงินของรัฐทำงานประสานกับคณะรัฐมนตรีอย่างใกล้ชิด ชื่อของ ดร.เสนาะ อูนากูล โดดเด่นจากประสบการณ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยและสภาพัฒน์ ก่อนจะขยับสู่ตำแหน่งการเมืองระดับรองนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา แนวทางที่อิงข้อมูลและแบบจำลองเศรษฐกิจช่วยให้ไทยเดินหน้าโครงการโครงสร้างพื้นฐานและการดึงดูดการลงทุนอย่างเป็นระบบ

เมื่อพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณขึ้นบริหาร ประเทศเปิดนโยบายการทูตเชิงเศรษฐกิจมากขึ้น นักเศรษฐศาสตร์จากรั้วมหาวิทยาลัยเริ่มก้าวสู่เก้าอี้รัฐมนตรี ดร.วีรพงษ์ รามางกูรเข้ากำกับนโยบายการคลังในช่วงที่ตลาดทุนเริ่มเติบโตและทุนต่างชาติหลั่งไหล ใช้กรอบคิดมหภาคมาประคองเสถียรภาพ ในขณะที่รัฐบาลเดินหน้าคลายข้อจำกัดทางเศรษฐกิจและเพิ่มบทบาทเอกชน

วิกฤตการเงินเอเชียปลายทศวรรษ 90 บีบให้ไทยหันพึ่งความเชี่ยวชาญอีกระลอก รัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธเผชิญแรงกดดันจากค่าเงินและหนี้ภาคเอกชน จึงเปิดทางให้ทีมที่เข้าใจโครงสร้างการเงินเข้ามารับมือ ต่อเนื่องสู่รัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน ที่ให้ความสำคัญกับระเบียบกติกาและการฟื้นความเชื่อมั่น นักลงทุนและสถาบันการเงินจับตาทุกก้าวของฝ่ายนโยบาย เทคโนแครตต้องอธิบายเหตุผลเชิงเทคนิคให้สังคมเข้าใจควบคู่ไปกับการปรับมาตรการที่กระทบประชาชนจำนวนมาก

ทศวรรษต่อมา รัฐบาลที่เน้นขับเคลื่อนด้วยนโยบายเชิงรุกเชิญคนจากมหาวิทยาลัยและภาคธุรกิจเข้ามากำกับเศรษฐกิจอย่างเต็มตัว สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กลายเป็นสัญลักษณ์ของแนวทางที่ผสานเศรษฐกิจมหภาคกับเครื่องมือการตลาดสมัยใหม่ กิตติรัตน์ ณ ระนอง และคณะทำงานด้านการคลังใช้นโยบายอัดฉีดและกลไกสินเชื่อเพื่อประคับประคองการเติบโต ขณะเดียวกันบทเรียนจากวิกฤตเก่ายังทำให้ที่มาของเงินทุนและความยั่งยืนของหนี้ภาครัฐเป็นโจทย์ที่ต้องอธิบายละเอียดขึ้น


หลังปี 2554 เจตนารมณ์ปฏิรูปภาครัฐกลับมาเป็นคำสำคัญ รัฐบาลที่มีฐานจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้ที่ทางแก่คนนอกจำนวนหนึ่ง ปรีดิยาธร เทวกุล รับบทวางเสถียรภาพการเงินช่วงต้น สมคิด กลับมาวางยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมและนวัตกรรม อุตตม สาวนายน ย้ายข้ามบทบาทจากเทคโนโลยีสารสนเทศสู่อุตสาหกรรมและการคลัง โครงงานดิจิทัล ภาษี การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษถูกผลักพร้อมกัน ทว่าความคาดหวังของสังคมเพิ่มสูงขึ้น เทคโนแครตจึงต้องสื่อสารให้เห็นเส้นทางผลลัพธ์ที่จับต้องได้

ในช่วงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกระยะหนึ่ง ประเทศเผชิญโควิด เทคโนแครตจากวงวิชาการและสาธารณสุขเข้ามาช่วยออกแบบมาตรการทั้งด้านงบประมาณและระบบวิทยาศาสตร์การแพทย์ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ในบทบาทกำกับอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมผลักดันโครงข่ายห้องปฏิบัติการและทุนวิจัย ขณะที่ทีมการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยทำงานคู่ขนานเรื่องเสถียรภาพและการเยียวยา กลไกดิจิทัลอย่างโครงการภาษีและกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์เกิดขึ้นท่ามกลางการถกเถียงด้านประสิทธิผลและเป้าหมายเชิงโครงสร้าง

เมื่อมองภาพรวม คุณสมบัติร่วมของเทคโนแครตไทยคือการศึกษาลึกด้านเศรษฐศาสตร์ การเงิน กฎหมาย และรัฐประศาสนศาสตร์ หลายคนเติบโตจากสภาพัฒน์ ธนาคารกลาง มหาวิทยาลัยชั้นนำ หรือองค์กรระหว่างประเทศ ความสามารถในการดึงข้อมูลเชิงหลักฐานมาสร้างฉันทามติทางนโยบายคือหัวใจสำคัญ อย่างไรก็ดี การแปลงแบบจำลองสู่ผลลัพธ์หน้างานต้องอาศัยพลังการเมืองและระบบราชการที่พร้อมขับเคลื่อน จึงเกิดข้อจำกัดเมื่อโครงสร้างการเมืองผันผวนหรือเมื่อสังคมต้องการคำตอบที่รวดเร็วกว่าระยะเวลาที่มาตรการจะออกดอกผล


 

บทเรียนตลอดหลายทศวรรษบอกว่า เทคโนแครตมีบทบาทสูงที่สุดเมื่อโจทย์ประเทศชัดและเข็มทิศนโยบายการเมืองไม่ลังเล หากการตัดสินใจใหญ่พิงข้อมูลและเปิดเผยต่อสาธารณะ ความเชื่อมั่นจะค่อยๆ ฟื้น ธุรกิจจะปรับแผนได้ทัน พลเมืองจะเข้าใจเหตุผลของความเปลี่ยนแปลง และนักการเมืองจะมีพื้นที่พอสำหรับประนีประนอมระหว่างประสิทธิภาพกับความเป็นธรรม นี่คือสูตรที่ทำให้ทุนความรู้ของเทคโนแครตกลายเป็นพลังขับเคลื่อนจริงในประวัติศาสตร์การเมืองไทย


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง