จาก “ช้อปช่วยชาติ” สู่ “ช้อปดีมีคืน”
ในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี มักจะเห็นรัฐบาลพยายามออกมาตรการมากระตุ้นเศรษฐกิจช่วงโค้งสุดท้ายของปี โดยมาตรการส่วนใหญ่จะกระตุ้นการบริโภค และมาตรการที่นิยมหยิบมาใช้อย่างต่อเนื่องคือ “ช้อปช่วยชาติ” ซึ่งดำเนินการในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้ก็ออกมาตรการลักษณะคล้ายกับช้อปช่วยชาติ แต่เปลี่ยนชื่อเป็นมาตรการ “ช้อปดีมีคืน”
เศรษฐกิจอินไซต์วันนี้เราจะมาขยายประเด็นกันว่า จากช้อปช่วยชาติ สู่ช้อปดีมีคืน จะมีความคล้ายหรือต่างกันนอย่างไร และผลที่เกิดขึ้นจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน
มาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ ( ศบศ.) เห็นชอบให้ดำเนินการเพื่อ “กระตุ้นการบริโภค” มีลักษณะเดียวกันกับโครงการ “ช้อปช่วยชาติ” ที่เคยออกมาก่อนหน้านี้ในช่วงปลายปี 2558-2561 ซึ่งได้รับผลตอบรับค่อนข้างดี จึงนำมาสู่มาตรการช้อปดีมีคืน
ทั้งนี้ ในปี 2562 ไม่มีมาตรการ “ช้อปช่วยชาติ” ตอนปลายปี เนื่องจากระหว่างปีมีมาตรการ “ชิมช้อปใช้” ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจแทน
เรามาเปรียบเทียบกันดูว่า ทั้งสองมาตรการแม้จะมีลักษณะของมาตรกรเหมือนกัน แต่มีการปรับปรุง "ปัดฝุ่น" สร้างแรงจูงใจเพิ่มมากขึ้น รายละเอียดเป็นอย่างไรมาดูกัน
มาตรการช้อปช่วยชาติในช่วงก่อนหน้านี้กำหนดวงเงินที่สามารถลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ขณะที่มาตรการ “ช้อปดีมีคืน” กำหนดวงเงินที่สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 30,000บาท ซึ่งจะต้องเป็นการใช้จ่ายในช่วง 23 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2563 คิดเป็นระยะเวลา70วัน โดยครอบคลุมการจับจ่ายใช้สอยในสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และผู้ประกอบการขายหนังสือและสินค้า OTOP แต่ไม่รวมสินค้าเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยาสูบ สลากกินแบ่งรัฐบาล น้ำมัน ค่าที่พัก และค่าตั๋วเครื่องบิน
ทั้งนี้ หากประชาชนได้ใช้สิทธิ์ในโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือโครงการ “คนละครึ่ง” แล้วจะไม่สามรถใช้สิทธิ์ได้
ติดตามรายละเอียดได้จากรายการ "เศรษฐกิจ Insight" วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 เวลา 08.00-08.30 น.
https://www.youtube.com/watch?v=Isp1I4YexMM
จะเห็นว่าการกระตุ้นการบริโภคในรอบนี้ ผ่านมาตรการช้อปดีมีเงินคืนมีลักษณะเหมือนโครงการช้อปช่วยชาติ เพียงแต่เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้มากกว่า คือ “ระยะเวลาในการดำเนินการ” นานกว่า และ“วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุดเพิ่มขึ้นถึง 30,000 บาท
ทั้งนี้ เดิมกระทรวงการคลังเสนอลดหย่อนภาษีสำหรับโครงการ "ช็อปดีมีคืน" ให้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 50,000 บาท แต่ที่ประชุมหารือว่า 30,000 บาทต่อราย เป็นจำนวนที่เหมาะสมมากกว่า อีกทั้งด้านภาคเอกชนก็สะท้อนว่าจำนวนนี้เหมาะสมและสามารถจูงใจประชาชนชนได้ โดยถ้าประชาชนได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีสูงสุด 20% ก็จะใช้จ่ายได้เท่ากับจำนวนที่มีสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีของตัวเอง
และหากมองในจังหวะเวลาที่ออกมาตรการในช่วงนี้ ซึ่งภาวะเศรษฐกิจตกต่ำกว่าช่วงที่ผ่านๆ มา ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ "ดร.ภาวิน ศิริประภานุกูล" อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเมินว่า เม็ดเงินที่อัดฉีดเข้าระบบจากมาตรการช้อปดีมีคืน น่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่าช้อปช่วยชาติ เนื่องจากในทางเศรษฐศาสตร์มองว่าในช่วงภาวะเศรษฐกิจไม่ดีหากอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจจะทำให้เกิดการใช้จ่ายเงินหมุนเวียนในระบบเร็วขึ้นกว่าภาวะปกติ จึงน่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในช่วงไตรมาส 4/2563 ได้พอสมควร
โดยภาครัฐประเมินว่า จะมีผู้เสียภาษีเข้าร่วมโครงการ 3.7-4.0 ล้านคน ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 120,000 ล้านบาท โดยภาครัฐจะสูญเสียรายได้ราว 1 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่ามาตรการช้อปดีมีคืน มีเป้าหมายที่ผู้มีรายได้ระดับปานกลางและรายได้สูง ซึ่งหากมีผู้เสียภาษีเข้าร่วมโครงการ 1.85 ล้านคน จะส่งผลให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจราว 55,500 ล้านบาท แต่หากมีผู้เสียภาษีเข้าร่วมโครงการ 4 ล้านคน จะส่งผลให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจราว 120,000 ล้านบาท
ดังนั้น หากรวมกับมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลออกมา ไม่ว่าจะเป็นมาตรการคนละครึ่่ง และมาตรการเติมเงินสวัสดิการเพิ่มอีกเดือนละ 500 บาทให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมถึงการทยอยเปิดรับนักท่องเที่ยว จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2563 มีแนวโน้มดีขึ้นและหดตัวลดลงเมื่อเทียบกับ2 ไตรมาสก่อนหน้า
ติดตามรายละเอียดได้จากรายการ "เศรษฐกิจ Insight" วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 เวลา 08.00-08.30 น.
https://www.youtube.com/watch?v=Isp1I4YexMM
เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNTHAILAND.com
facebook : TNNONLINE
facebook live : TNN Live
twitter : TNNONLINE
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNONLINE
Instagram : TNN_ONLINE
TIKTOK : @TNNONLINE