รีเซต

"โลจิสติกส์" ไทยเติบโตพุ่ง 9 แสนล้านบาท

"โลจิสติกส์" ไทยเติบโตพุ่ง 9 แสนล้านบาท
TNN ช่อง16
15 สิงหาคม 2568 ( 14:45 )
16

SCB EIC ประเมินธุรกิจโลจิสติกส์ในปี 2568   พบว่า มีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อยและยังเผชิญความผันผวนสูง จากผลกระทบของสงครามการค้าและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้น

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-มิ.ย.) ความต้องการขนส่งสินค้าของไทย ขยายตัวดี สะท้อนจากปริมาณตู้สินค้าเข้า-ออกท่าเรือแหลมฉบังที่เติบโต10.5%YoY กับปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศผ่านสนามบินสุวรรณภูมิขยายตัว 8.7%YoY เป็นผลจากมูลค่าการส่งออก-นำเข้าของไทยที่เติบโต 15%YoY กับ 12%YoY ตามลำดับ

การส่งออกครึ่งปีแรกที่ขยายตัวดีมาจากการเร่งขนส่งสินค้าไปสหรัฐฯ ก่อนที่มาตรการภาษีนำเข้าจะมีผลบังคับใช้ (Front-loading) รวมถึงการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้น ทั้งในกลุ่มวัตถุดิบและสินค้า E-commerce 

แต่ถ้าดูความต้องการขนส่งสินค้าเพื่อการบริโภคภายในประเทศยังชะลอตัว โดยการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสที่ 1 เติบโตเพียง 2.6%YoY ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 

ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา และสงครามระหว่างอิสราเอล-อิหร่านที่ปะทุขึ้นในเดือนมิถุนายน ได้กดดันการขนส่งสินค้าของไทย 

ส่วนแนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปี ความต้องการขนส่งสินค้า มีแนวโน้มชะลอตัว จากการเริ่มบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งมีอัตราภาษี Reciprocal tariffs กับไทยอยู่ที่ 19%

คาดว่ามูลค่าการส่งออก-นำเข้าในปีนี้จะอยู่ที่ 3%YoY กับ 3.3%YoY ตามลำดับ อีกทั้ง ความต้องการขนส่งยังเผชิญความผันผวนเพิ่มขึ้นในเส้นทางขนส่ง และต้องติดตามสินค้าที่เข้าข่ายสวมสิทธิอย่างใกล้ชิด 

สินค้ากลุ่มที่ได้รับการลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ อาจมีการนำเข้าเพิ่มสูงขึ้น ส่วนการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนไทยยังคงระมัดระวังมากขึ้น และคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนทั้งปีจะขยายตัวเพียง 2%YoY

 

 

ถ้าพูดถึงในเรื่องโลจิสติกส์ คงต้องพูดถึงในเรื่องอัตราค่าขนส่งเฉลี่ย พบว่า ในแต่ละโหมดการขนส่งตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนมิถุนายนปรับลดลง โดยเป็นผลจากความไม่แน่นอนทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผู้นำเข้า-ส่งออกอยู่ในภาวะรอดูท่าทีและชะลอคำสั่งซื้อระยะยาว 

ค่าขนส่งทางเรือโลกลดลง 11% แม้ในเดือนมิถุนายนจะเร่งขึ้นชั่วคราวจาก Front-loading แต่โดยรวมยังถูกกดดันจากปริมาณเรือใหม่ที่ทยอยเพิ่มขึ้น 

ส่วนค่าขนส่งทางอากาศโลกลดลงราว 6% โดยเพิ่มขึ้นชั่วคราวในเดือนพฤษภาคมก่อนสหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการยกเว้นภาษีนำเข้า De minimis สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนและฮ่องกง 

ขณะที่ค่าขนส่งทางถนนในประเทศปรับลดลงเล็กน้อย 1% ตามระดับราคาน้ำมันดีเซลที่ลดลงเพียงเล็กน้อยแม้ราคาน้ำมันดิบเบรนต์เฉลี่ยลดลงสูง เนื่องจากยังต้องเก็บเงินชดเชยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังมีสถานะติดลบกว่า 32,000 ล้านบาท 

แนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปี อัตราค่าขนส่งสินค้าในแต่ละโหมดยังมีแนวโน้มปรับลดลงต่อ เนื่องตามความต้องการขนส่งที่อ่อนตัว โดยเฉพาะค่าขนส่งทางเรือและทางอากาศ ที่คาดว่าจะยังถูกกดดันเพิ่มเติม จากการปริมาณกองเรือใหม่/เที่ยวบินใหม่ที่ทยอยเพิ่มขึ้น 

ขณะที่ค่าขนส่งทางถนนมีแนวโน้มลดลงไม่มากนักจากต้นทุนโครงสร้างราคาน้ำมัน โดยมีการคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบโลกเฉลี่ยทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ 71 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับลดลง 11%YoY ตามอุปทานน้ำมันที่เกินกว่าความต้องการใช้น้ำมันมาก แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงหากสงครามบริเวณตะวันออกกลางปะทุรุนแรง 

SCB EIC  มีการประเมินรายได้ของผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในปี 2568  คาดว่าจะขยายตัวเล็กน้อยที่ 2.2%YoY และมีมูลค่าอยู่ที่ 9.3 แสนล้านบาท

ถ้าดูการแข่งขันทางธุรกิจในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยมีการแข่งขัน 3 ด้านหลัก ต้องติดตามคือ

 1. การขยายบริการโลจิสติกส์ให้ครอบคลุมทั้ง Supply chain การขนส่งทั้งในด้านโหมดขนส่งและลักษณะสินค้า จึงทำให้การบริการเกิดการทับซ้อนกันมากขึ้น และนำมาสู่การแข่งขันด้านราคาที่เข้มข้นขึ้น

 2. การแข่งขันด้านคุณภาพในการขนส่ง จากความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งจากปัญหาสงครามการค้า รวมถึงการสู้รบในตะวันออกกลางและการสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อได้สร้างความผันผวนต่อการให้บริการโลจิสติกส์ค่อนข้างสูง จึงทำให้ธุรกิจโลจิสติกส์ต้องแข่งขันในด้านความเชี่ยวชาญในการบริการมากขึ้น

 3. การแข่งขันในธุรกิจจัดส่งพัสดุที่รุนแรงต่อเนื่อง ทั้งในด้านราคาและคุณภาพบริการ จากสภาพตลาด Red ocean แข่งขันดุเดือดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และจะยิ่งรุนแรงขึ้นจากที่มีผู้เล่นหน้าใหม่เริ่มให้ความสนใจเข้ามาให้บริการ

การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ประกอบกับความต้องการขนส่งสินค้าที่ชะลอตัว จะกดดันการเติบโตของกลุ่มผู้ขนส่งทางถนนและกลุ่ม Freight forwarder ขณะที่กลุ่มผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด 

สำหรับแนวโน้มในอนาคตของธุรกิจโลจิสติกส์ พบว่า มี 2 เทรนด์ที่ต้องให้ความสำคัญและเร่งพัฒนา 

1.เทรนด์ Green logistics กำลังเป็นกระแสที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ มีตั้งแต่ลดและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การใช้ยานยนต์ไร้มลพิษ บรรจุภัณฑ์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยในช่วงปีที่ผ่านมาผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในไทยเริ่มให้บริการ Green logistics กันมากขึ้นสอดรับกับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมและแผนการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ของภาคธุรกิจ จากในปัจจุบันที่สัดส่วนการใช้รถบรรทุกไฟฟ้ายังค่อนข้างน้อย ส่งผลให้ธุรกิจโลจิสติกส์จะต้องเร่งปรับตัว  

2.เทรนด์ Logistics Technology (LogTech) การใช้เทคโนโลยี และปัญญาประดิษฐ์(เอไอ) จะเข้ามาช่วยยกระดับการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพและสะดวกรวดเร็วขึ้น พร้อมทั้งช่วยลดต้นทุนบริหารจัดการ โดยเฉพาะการใช้ AI ในด้านการจัดการ Supply chain, แพลตฟอร์มการรับจัดส่งสินค้า, การติดตามและสร้างความโปร่งใสใน Supply chain รวมถึงคลังสินค้าอัตโนมัติและหุ่นยนต์เคลื่อนย้ายสินค้า

หากผู้ประกอบการสามารถปรับตัวตามทั้ง 2 เทรนด์ได้ทัน ทั้งการเริ่มให้บริการ Green logistics ในเส้นทางที่เหมาะกับเทคโนโลยีรถบรรทุกในปัจจุบันหรือในสินค้าที่มีความต้องการขนส่งเฉพาะก่อน กับการพิจารณาทยอยลงทุนใน LogTech จะมีส่วนช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่จะรุนแรงขึ้นได้

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง