รีเซต

เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้

เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
ทันหุ้น
11 กุมภาพันธ์ 2565 ( 09:11 )
214
เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้

#TTB #ทันหุ้น - บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) คาดแนวโน้มตลาดวันนี้ SET Index มีแนวโน้มลงระยะสั้นหากรอบ 1,690+- จุด ตามบรรยากาศการลงทุนที่ค่อนข้างเป็นลบ และเม็ดเงินที่ไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง หลังสหรัฐฯ ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ม.ค. ออกมาสูงกว่าตลาดคาด +0.6% M-M +7.5% Y-Y ทำให้ตลาดกังวลว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ประเมิน โดยปัจจันตลาดคาด FED ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในการประชุมเดือน มี.ค. ด้วยความน่าจะเป็น 89% และขึ้นครบ 1% ในการประชุมเดือน มิ.ย. 

 

ประเมินว่าหุ้นกลุ่ม Tech และ Growth ที่ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ PER สูงยังคงถูกกดดัน ขณะที่กลุ่ม Domestic และ Value Play จะปรับตัวได้แข็งแรงกว่า โดยเฉพาะแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่จะเริ่มฟื้นตัวชัดขึ้นใน 2H22 หนุนการเติบโตระยะยาวและหนุนกระแสเงินทุนคาดยังไหลเข้า กลยุทธ์ยังเน้นลงทุนในหุ้นที่คาดมีกำไร 4Q21 แข็งแกร่งและ PER/PBV ไม่สูง 

 

กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้น Value และมีแนวโน้มกำไร 4Q21 แข็งแกร่ง

หุ้นเด่นเดือนก.พ. : GFPT, HMPRO, PJW, SC, TKS

 

หุ้นเด่นวันนี้ : TTB

• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายจาก FSSIA 1.80 บาท

• เราคาดกำไรสุทธิปี 2022 ของ TTB จะเติบโตสูงสุดในกลุ่มธนาคาร +27% Y-Y จากประโยชน์หลังการควบรวมเต็มปีทั้งการ Cross Selling รวมถึงลดค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน และเป็นธนาคารเดียวที่ ROE จะสูงเหนือระดับก่อน COVID-19  

• ฐานลูกค้าที่เป็นรายย่อยมากขึ้นทำให้ Loan Yield สูงและมีโอกาสเกิดการ Rerate Valuation ขึ้น ขณะที่ปัจจุบัน TTB ซื้อขายที่ระดับ PBV เพียง 0.6 เท่า ซึ่งเรามองว่าต่ำเกินไป

• แนวรับ 1.38//1.31 บาท แนวต้าน 1.47-1.50//1.70 บาท       

 

**บล.เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ดัชนีฯ มีโอกาสปรับตัวลดลง(ปรับฐาน) หลัง Fed มีโอกาสปรับดอกเบี้ยเร็วและมากกว่าคาด ตัวเลขเงินเฟ้อ ของสหรัฐฯ เดือน ม.ค.ที่สูงขึ้น 7.5% จากที่คาด 7.3% และมาจากค่าบริการทางการแพทย์ที่สูงเกินคาด เงินเฟ้อที่สูงขึ้นมาก กดดันให้ Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงกว่าที่เคยคาดการณ์  การแสดงความเห็นของนาย James Bullard ประธาน Fed สาขา St. Louis ที่ระบุว่า Fed อาจขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือน มี.ค. รวมถึง ขยับขึ้นเป็น 1% ในเดือน ก.ค.  มีผลลบต่อตลาดวานนี้(10) 

 

นักลงทุนสหรัฐฯตกใจ และขายหุ้นทั้ง Value และ Growth ออกมาทั้งคู่ ขณะที่พันธบัตรที่ตอบสนองมากที่สุด คือ อายุ 2 ปี ที่ปรับจาก 1.36% เป็น 1.58% ภายในวันเดียว และ Bond Yield อายุ 10 ปี ขึ้นแตะระดับ 2.0% อีกครั้ง คาดมีผลกระทบมาถึงตลาดหุ้นเอเซีย รวมทั้งไทย แต่น่าจะเป็นช่วงสั้นๆ หุ้นเสี่ยงต่อการถูกขายทำกำไร คือ หุ้นที่ราคาขึ้นมามาก และหุ้นที่อิงกับ Tech

 

นักลงทุนต่างประเทศ ยังเดินหน้าซื้อหุ้นในตลาดเอเซีย วันก่อน net buy $782 ล้านเหรียญ (6 ตลาดหุ้น) วันนี้แรงซื้ออาจแผ่ว แต่คาดหลังหายตกใจ จะกลับมาซื้อหุ้นต่อ ปัจจัยภายในของไทย มีน้อย วันนี้ นายกฯ นั่งประชุม ศบค. คาดมีมาตรการผ่อนคลายมากขึ้น  ด้าน รมว.คลัง จะมีการพูดถึง new normal ของธุรกิจประกัน  และประเด็นการเมือง (ยุบสภาฯ) เริ่มถูกพูดในสื่อต่างๆ มากขึ้น

 

สำหรับตลาดวันนี้ อาจมีการพักฐานเล็กๆ ตามตลาดอื่นๆ จากความกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed แต่เป้าหมายดัชนีฯ รอบนี้ยังมองไว้ที่ 1720 จุด การที่ราคาหุ้นลงมายังเป็นจังหวะซื้อ โดยให้น้ำหนักกับหุ้นที่มีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศ ไว้ก่อน หุ้นที่เราพบว่านักลงทุนต่างประเทศเข้าซื้อมากที่สุดวานนี้ (10)  5 ลำดับแรก คือ KBANK, PTTEP, SCB, PTT และ ADVANC

 

พอร์ตหุ้นวันนี้เรานำ BBL, MINT ออก และเพิ่มหุ้น MAKRO*, TIDLOR เข้ามาแทนพอร์ตหุ้นประกอบด้วย MAKRO*(10%), TIDLOR (10%), GULF(15%), THCOM*(10%), SCGP(15%), TU(10%), PTT*(15%)

 

MAKRO*: (เป้าเชิงกลยุทธ์ 44.00 บาท) “บริโภคฟื้น, มาร์จิ้นดี, ต่างชาติเริ่มซื้อหุ้น”

•แนะนำทยอยซื้อ MAKRO รายได้ปี 22 โต Tesco ช่วยหนุน พร้อมขายอาหารสดเพิ่มขึ้นผ่านสาขา (กำไรดี), ด้านราคาหุ้น Laggard ต่างชาติเริ่มซื้อ

•เริ่มขยายสาขาใหม่ และปรับ Model ของ Tesco การรวมกันของ MAKRO-Tesco นอกจากจะช่วยยกระดับฐานรายได้แล้ว ยังลดต้นทุนที่ซ้ำกันของทั้งคู่เป็นบวกต่อกำไร

•Bloomberg Consensus ประเมินกำไรสุทธิปี 2021-2022 ที่ 1.22 หมื่น ลบ. และ 1.6 หมื่น ลบ. +82%YoY, +32%YoY ตามลำดับ

 

Technical : RCL, DEMCO

 

**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัดวางแนวFilter แนวรับ SET ที่ 1,685 – 1,690 ยืนได้ถือพอร์ตต่อ โดยมีแนวต้าน 1,710 แนะนำทยอยซื้อช่วงดัชนี่อ่อนตัวKBANK,BBL,SCB, PTT, AOT ,ADVANC, CPALL,HMPRO, BDMS, AMATA, WHA (+คาดกำไรฟื้นตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจ)

 

MAJOR* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 24.80 บาท) คาดแนวโน้มผลประกอบการหลัก 4Q64 ฟื้นตัวต่อเนื่อง QoQ จากการกลับมาเป็นให้บริการโรงหนังตั้งแต่เดือน ต.ค.64 ประกอบกับมีหนังที่ทำรายได้สูงหลายเรื่อง ส่วนรายได้จาก Concession ขายอาหารเครื่องดื่มฟื้นตัวตามจำนวนผู้ใช้บริการ การขายผ่านช่องทางค้าปลีกและ Delivery สำหรับแนวโน้มปี 65 พลิกกลับมากำไรบนสมมติฐานไม่มีการล็อกดาวน์ในประเทศอีก บวกกับจำนวนหนังฟอร์มใหญ่ที่จะเข้าฉายจะมีมากกว่าปีก่อน โดยบริษัทมีแผนขยายโรงหนังในปีนี้ 20-30 Screen แม้ยังต้องเว้นระยะห่างที่นั่งแต่จะเพิ่มความถี่รอบฉายแทน นอกจากนี้จะเดินหน้าขยายช่องทางค้าปลีก Popcorn ผ่าน 7-11 ทุกสาขาตั้งแต่เดือน มี.ค.เป็นต้นไป

 

ADVANC (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 240.00บาท) แม้กำไรสุทธิปี 64 ย่อเล็กน้อยสู่ 26,924.47 ลบ. (-2.72%) แต่รายได้รวมฟื้นสู่ 181,333 ลบ. (+4.88%) แรงหนุนจากกำลังซื้อ, ARPU ฟื้นตัว, ม.กระตุ้นภาครัฐ และการแข่งขันที่แนวโน้มลดความรุนแรงลงในธุรกิจหลัก ขณะที่ Fixed Board Band ยังเติบโตหลัก 2 Digits การแสวงหารายได้จากช่องทางอื่นเพื่อกระจายความเสี่ยง และโอกาสธุรกิจ Data Center ที่เซ็นสัญญาร่วมกับ GULF ไป รวมถึงโครงการใหม่ ๆ อีกมากจากพันธมิตรทั้ง GULF และ SCB คาด Dividend Yield ปี 65 ที่ 3.22% อย่างไรก็ตามให้ระมัดระวังการเก็งกำไรช่วง XD 18 ก.พ. โดยจะจ่ายเงินปันผล 4.24 บาทต่อหุ้น (รวมปี 64 จ่ายเงินปันผล 7.69 บาทต่อหุ้น)

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง