ป.ป.ช. พลิกเกมปราบโกง ยกระดับ “ศูนย์ CDC” ดักคอร์รัปชัน ‘ซ่อนรูป’ ในยุคดิจิทัล

ในสังคมไทยที่เผชิญปัญหาการทุจริตอย่างต่อเนื่อง หน่วยงานที่มีบทบาทหลักในการต่อต้านคอร์รัปชันอย่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยังคงเป็นที่จับตามองจากสาธารณะ แม้ความคาดหวังจะสูง แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระยะหลังได้สะท้อนถึงความพยายามในการปรับตัวขององค์กรอย่างเป็นรูปธรรม
ป.ป.ช. ได้ปรับแนวทางการทำงานจากรูปแบบเดิมที่เน้นการรับเรื่องร้องเรียน มาสู่การเฝ้าระวังเชิงรุกมากขึ้น โดยอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลและเทคโนโลยีเพื่อค้นหาความผิดปกติได้อย่างทันท่วงที ไม่ต้องรอให้ประชาชนร้องเรียนก่อนจึงจะเริ่มดำเนินการ ถือเป็นการขยับบทบาทจากการตอบสนอง สู่การป้องกันเชิงระบบ ซึ่งสอดคล้องกับความซับซ้อนของพฤติกรรมทุจริตในโลกยุคใหม่
พฤติกรรมทุจริตยุคใหม่ ไม่ใช่แค่ปลอมลายเซ็นหรือแก้เอกสาร
คุณฐิติวรดา เอกบงกชกุล ผู้อำนวยการสำนักเฝ้าระวังและประเมินสภาวการณ์ทุจริต ป.ป.ช. อธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการโกงในยุคปัจจุบันว่า ในอดีต การทุจริตอาจเกิดจากการปลอมเอกสาร แก้ไขตัวเลข หรือยักยอกเงินในรูปแบบตรงไปตรงมา แต่ปัจจุบัน กระบวนการโกงมีความซับซ้อนและแนบเนียนมากขึ้น โดยมักเป็นการทำเป็นขบวนการที่ประกอบด้วยผู้มีอำนาจ นักการเมือง ข้าราชการ และกลุ่มทุนที่รู้ช่องโหว่ของระบบ
ปัญหาไม่ได้อยู่แค่ระดับบุคคลหรือช่องโหว่ในขั้นตอนการปฏิบัติงานอีกต่อไป หากแต่เป็นปัญหาเชิงนโยบายและโครงสร้าง ที่การทุจริตสามารถแฝงอยู่ในกระบวนการที่ดูเหมือนถูกต้อง เช่น การล็อกสเปกในการจัดซื้อจัดจ้าง การออกแบบขั้นตอนที่เอื้อประโยชน์เฉพาะกลุ่ม และการเบิกงบประมาณแบบซ้ำซ้อน
เครื่องมือทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะในโลกดิจิทัล ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการฟอกผลประโยชน์ให้ดูชอบธรรม เช่น การใช้บริษัทนอมินี การเปิดบัญชีม้า หรือการแปลงสินทรัพย์ที่ได้มาจากการทุจริตให้กลายเป็นคริปโตเคอร์เรนซีหรือทรัพย์สินดิจิทัลที่ยากต่อการตรวจสอบย้อนกลับ
“ศูนย์ CDC” กับบทบาทใหม่ของ ป.ป.ช. ในการจับตาทุจริต
เพื่อให้ทันต่อพฤติกรรมทุจริตที่เปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างรวดเร็ว ป.ป.ช. จึงได้จัดตั้ง “ศูนย์ป้องปรามการทุจริตแห่งชาติ” หรือ Corruption Deterrence Center (CDC) ขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2565
ศูนย์ CDC ทำหน้าที่วิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงระบบ โดยไม่ต้องรอให้ประชาชนร้องเรียนก่อน แต่ใช้ข้อมูลข่าวสารจากแหล่งต่าง ๆ ทั้งสื่อกระแสหลัก เว็บไซต์ หน่วยงานรัฐ และสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อจับสัญญาณพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายทุจริตผ่านระบบ Social Listening
“เราไม่รอให้คนแจ้งอย่างเดียวอีกต่อไป เพราะเราเฝ้าระวังเอง และเมื่อพบประเด็นที่น่าสงสัย เราจะประสานกับ ป.ป.ช. จังหวัดเพื่อเข้าไปตรวจสอบทันที”
ตัวอย่างพฤติกรรมที่พบจากการเฝ้าระวัง เช่น โครงการอาหารกลางวันที่มีคุณภาพต่ำ โครงการก่อสร้างที่ดูไม่คุ้มค่า หรือราคากลางที่สูงเกินจริง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายผลตรวจสอบเชิงลึก
ท้องถิ่น-โรงเรียน-งานก่อสร้าง จุดเสี่ยงทุจริตที่วนเวียนซ้ำซาก
จากการประมวลผลข้อมูลของศูนย์ CDC และสถิติเรื่องร้องเรียนที่ ป.ป.ช. ได้รับ พบว่าพื้นที่เสี่ยงทุจริตกระจุกอยู่ในสามกลุ่มหลัก ได้แก่ หน่วยงานท้องถิ่น กระทรวงศึกษาธิการ และโครงการก่อสร้างในระดับต่าง ๆ
หน่วยงานท้องถิ่นจำนวนมากจัดซื้อจัดจ้างโดยอ้างดุลพินิจ หรือใช้วิธีเลือกบริษัทที่คุ้นเคย ทำให้เกิดการล็อกสเปกหรือจัดซื้อสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ โครงการขุดลอกแหล่งน้ำ สร้างถนน หรือแม้กระทั่งจัดหาอาหารกลางวันให้เด็กนักเรียน จึงกลายเป็นแหล่งสร้างผลประโยชน์มากกว่าจะเป็นการพัฒนาสาธารณะ
สิ่งที่น่ากังวลคือ โครงการลักษณะนี้มีอยู่ทั่วประเทศและใช้เงินภาษีจำนวนมาก แต่กลับไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดให้ประชาชนตรวจสอบได้ เพราะอ้างว่าอยู่ภายใต้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่
ลดอำนาจตีความ เพิ่มระบบดิจิทัล
ป.ป.ช. มองว่าปัญหาสำคัญของระบบราชการไทย คือการที่เจ้าหน้าที่มีอำนาจในการใช้ดุลพินิจสูง แต่ไม่มีระบบตรวจสอบที่โปร่งใส หากระบบยังคงเป็นแบบเดิม โอกาสที่จะเกิดการเจรจาใต้โต๊ะหรือเรียกรับผลประโยชน์ก็ยังคงอยู่
แนวทางหนึ่งที่หลายหน่วยงานนำมาใช้ คือการออกแบบระบบออนไลน์ที่ลดการเผชิญหน้าและลดอำนาจตีความของเจ้าหน้าที่ลง เช่น หากประชาชนยื่นคำขออนุญาตและมีเอกสารครบถ้วนตามข้อกำหนด เจ้าหน้าที่ต้องให้บริการโดยไม่มีสิทธิปฏิเสธจากความเห็นส่วนบุคคล
ระบบแบบนี้ไม่เพียงทำให้ประชาชนไม่ต้องจ่าย “สินบน” แต่ยังสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับการให้บริการของรัฐ ที่โปร่งใสและเท่าเทียมกันมากขึ้น
สังคมต้องมีส่วนร่วม แจ้งเบาะแสได้โดยไม่ต้องกลัว
ศูนย์ CDC ยังเปิดกว้างให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นหูเป็นตาให้กับสังคม โดยสามารถแจ้งเบาะแสผ่านเว็บไซต์ของ ป.ป.ช. ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือใช้ช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook หรือ X ได้เช่นกัน
คุณฐิติวรดาเน้นว่า ประชาชนไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานครบถ้วน ขอเพียงมีข้อสงสัยก็สามารถแจ้งเข้ามาได้ เพราะหน้าที่ตรวจสอบและหาหลักฐานต่อเป็นของเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่ภาระของประชาชน
“ประชาชนไม่ต้องกลัวว่าจะแจ้งแล้วไม่ปลอดภัย หรือแจ้งแล้วถูกเพิกเฉย เพราะตอนนี้ศูนย์ของเราตรวจสอบข้อมูลทุกวัน และเชื่อมโยงกับหน่วยงานระดับพื้นที่ตลอดเวลา”
ป.ป.ช. ก็ต้องถูกตรวจสอบ
คุณฐิติวรดา ย้ำในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ว่า ป.ป.ช. ไม่ได้ยกเว้นตัวเองจากการตรวจสอบ หากพบว่าเจ้าหน้าที่ของ ป.ป.ช. มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม แอบอ้างชื่อองค์กร หรือปฏิบัติหน้าที่ไม่สุจริต ประชาชนสามารถแจ้งเข้ามาได้ทันที และจะมีการดำเนินการอย่างจริงจัง
“หากมีเจ้าหน้าที่ของ ป.ป.ช. ไปแอบอ้างหรือทำตัวไม่เหมาะสม เราก็ไม่ปกป้อง เพราะองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันต้องยืนอยู่บนความโปร่งใส ไม่ใช่แค่ไปตรวจสอบคนอื่น แต่ต้องยอมให้คนอื่นตรวจสอบเราด้วย”
การเปลี่ยนผ่านที่ต้องอาศัยทุกฝ่าย
การยกระดับ “ศูนย์ CDC” และปรับบทบาท ป.ป.ช. ให้เข้าสู่โหมดเฝ้าระวังเชิงรุก เป็นก้าวสำคัญขององค์กรรัฐในการรับมือกับคอร์รัปชันยุคใหม่ที่ไม่ใช้เพียงแค่เอกสารปลอม แต่เดินเกมผ่านเทคโนโลยีและเครือข่ายที่ซับซ้อนกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม การปราบโกงไม่สามารถสำเร็จได้ด้วยพลังขององค์กรเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชน หน่วยงานรัฐ และระบบที่เอื้อต่อความโปร่งใสทุกระดับ เพราะการตรวจสอบที่ได้ผลที่สุด คือการตรวจสอบที่มาจากทุกมุมของสังคม
ชมคลิปสัมภาษณ์เต็มที่นี่ https://youtu.be/IuTdjYCzafc