ส่องภาพลงทุนผ่านตาบลจ. จัดทัพเสริมแกร่งพอร์ตQ2
#KAsset #UOBAM #ทันหุ้น UOBAM มองภาพลงทุนในระยะถัดไปยังคงมีความผันผวน ทั้งนโยบายการเงินเฟดกับคาดการณ์ลดดอกเบี้ย ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ยังคงแนะกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์ทั้งตราสารหนี้ –หุ้นเน้นธีมเติบโตระยะยาว ส่วนKAsset มองจีนระยะสั้นยังเป็นเชิงลบ แม้ตัวเลข GDP โตเกินคาด แต่ระยะยาวสะสมได้ หลังรัฐให้การหนุนตลาดทุน ขณะที่การลงทุนแนะจัดพอร์ตหลัก-รอง เสริมแกร่ง
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี จำกัด หรือ UOBAM มองว่า ตลาดหุ้นยังคงถูกกดดันจากปัจจัยต่างๆ ทั้งในส่วนของการลดความคาดหวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด (Fed) ลง ทั้งความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่เข้มข้นมากขึ้น และอาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นจนอาจส่งผลให้โอกาสที่เงินเฟ้อจะอ่อนตัวลงใช้เวลานานขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลเพิ่มขึ้น และหันมาลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตรหรือตราสารหนี้
ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐปรับลดลงต่ำกว่าระดับ 4.6% ในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 2 ปีเคลื่อนไหวใกล้เคียงระดับ 5%จากที่ตลาดคาดว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed อาจชะลอออกไปและมองว่ามีความเป็นไปได้ว่า Fed อาจมีการปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้เพียง 1-2ครั้งจากที่คาดไว้ที่ 3-4 ครั้งก่อนหน้านี้
กองตราาสารหนี้แนะนำ
สำหรับกองทุนตราสารหนี้ที่แนะนำ กองทุน UGIS และแนะนำให้เริ่มพิจารณาลงทุนในตราสารหนี้ที่มีดูเรชั่น (Duration) ที่มากขึ้นผ่าน กองทุน UDB และลงทุนในตราสารหนี้ประเภท Credit มากขึ้นกับ กองทุนUSI เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี ด้วยระดับวัฏจักรอัตราดอกเบี้ย ที่ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงจับตา ผลประกอบการของบริษัทเทครายใหญ่ (Big Tech) ที่จะประกาศออกมาในสัปดาห์นี้คงต้องให้ความสำคัญไปที่ บริษัทที่จะมีผลต่อทิศทางการปรับตัวของตลาด อย่างไรก็ตาม บลจ.ยูโอบี มองว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพรวมยังมีโมเมนตัมในเชิงบวก โดยเฉพาะในฝั่งของสหรัฐ ที่ตัวเลขในภาคการผลิตและอุปสงค์ภาคครัวเรือนที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐได้
ในส่วนของภาคการเงินที่ผ่อนคลาย ยังเป็นตัวหนุนให้สามารถเทรดหรือซื้อขายหุ้นในมูลค่า (Valuation) ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาวได้ต่อเนื่องหาก อีกทั้งหากแนวโน้มผลประกอบการยังคงเป็นไปในเชิงบวก เชื่อว่าในระยะข้างหน้าตลาดมีโอกาสปรับตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากภาคการผลิตที่ปรับตัวดีในวงกว้างขึ้น
เศรษฐกิจยังคงมีโมเมนตัมการฟื้นตัวดี จากภาคการผลิตที่ปรับดีในวงกว้างขึ้น ส่งผลให้ตลาดมีโอกาสปรับตัวในวงกว้างกว่ากลุ่มหุ้นยักใหญ่ (Mega Cap Tech Stock) เพียงอย่างเดียว ควรมีการกระจายการลงทุนที่หลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ที่ได้รับอานิสงค์จากการปรับตัวของตลาดหุ้นซึ่งบลจ.ยูโอบี แนะนำลงทุนในกองทุนในธีมการเติบโตระยะยาว (Secular Growth Themes)
คัดกองหุ้นตัวเต็ง
โดยกองทุนแนะนำ กองทุน UGD , กองทุน UGQG และ กองทุน UESG ซึ่งคาดว่าจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวในวงกว้างมากขึ้น รวมถึงกองทุน UOBSA
นอกจากนี้ ยังเล็งเห็นโอกาสในการลงทุนในหุ้นในตลาดเกิดใหม่ของเอเชีย (Asia EM) ด้วยทิศทาง ค่าเงินดอลลาร์ที่ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วช่วยสนับสนุนให้เม็ดเงินลงทุนไหลกลับมาในตลาดประเทศกำลังพัฒนา ในฝั่งเอเชียที่มีศักยภาพในการเติบโต สูง รวมถึงมี Valuation ที่น่าสนใจกว่าตลาดประเทศพัฒนาแล้ว
เศรษฐกิจจีนสัญญาณดี
ฝั่งของตลาดจีนแม้ว่าตัวเลข และตัวเลขภาคการผลิตที่ประกาศออกมานับจากต้นปี2567 มีสัญญาณที่ดี แต่การฟื้นตัวในภาคการผลิตที่ไม่สม่ำเสมอและยังมีความท้าทายในส่วนของเสถียรภาพภาคอสังหาริมทรัยพ์รวมถึงการบริโภคภาคครัวเรือนที่ยังต้องอาศัยการสนับสนุนจากทางภาครัฐฯเพิ่มเติม ซึ่งในมุมของการลงทุนคาดว่าจะเห็นการลงทุนกระจายยังประเทศในฝั่งเอเชียที่มีศักยภาพในการเติบโตเพิ่มเติม
ทางด้านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด หรือ KAsset ให้มุมมองการลงทุนสำหรับจีนว่า ในระยะยาวยังลงทุนได้ โดยเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวดีเกินคาด สะท้อนจากตัวเลข GDP ไตรมาสแรกที่ขยายตัว 5.3% ดีกวาที่ตลาดคาดการณ์ว่าขยายตัวเพียง 4.6% และดีกว่า ไตรมาส 4/66 ที่ขยายตัว 5.2% เนื่องจากได้รับแรงหนุนการฟื้นตัวของภาคส่งออก และกิจกรรมด้านการผลิต
ภาพรวศก.จีนยังเปราบาง
อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจจีน ที่ทยอยประกาศออกมาด้านอื่นๆ ยังสะท้อนความเปราะบาง เช่น การผลิตภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวขึ้น 4.5%ก็จริง แต่ยังต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 6% ส่วนยอดค้าปลีกปรับตัวขึ้น 3.1% น้อยกว่าที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่ม 4.6%เป็นต้น เงินเฟ้อยังคงติดลบ และภาคอสังหายังคงซบเซาแม้จีนจะออกกมาตรการต่างๆ มากระตุ้นก็ตาม
บลจ.กสิกรไทยมีมุมมองเชิงลบต่อตลาดหุ้นจีนในระยะสั้น แม้ตัวเลขเศรษฐกิจจะฟื้น แต่เป็นการฟื้นตัวที่กระจุดในบางภาคส่วน อีกทั้งประเด็นสงครามในตะวันออกกลางก็อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงโดยรวม และทำให้ตลาดผันผวนในระยะสั้น
อย่างไรก็ดี ด้วยมูลค่าที่ค่อนข้างต่ำ Forward P/E MSCI China ที่ 9 เท่า บวกกับเห็นพัฒนาการเชิงบวกในแง่ความพยายามในการรักษาเสถียรภาพตลาดทุน เช่น การใช้เม้ดเงินจากกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่อง (Stabilization Fund) ในการพยุงหุ้น และการออกนโยบายปฏิรูปตลาดทุน ทำให้ บลจ.กสิกรไทยมองว่าตลาดหุ้นจีนยังสามารถสะสมได้ในระยะยาว
ในส่วนของหุ้นโลก ยังคงมีความผันผวน จากความไม่แน่นอนของทิศทางอัตตาดอกเบี้ยของเฟด โดยเริ่มมีนักวิเคราะห์มองถึงโอกาสที่เฟดอาจไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ รวมถึงนักลงทุนยังให้ความสนใจต่อผลประกอบการไตรมาส1/67 ที่กำลังทยอยออกมา และจับตาการตอบโต้กันระหว่างอิสราเอล-อิหร่านที่ยังมีต่อเนื่อง
จัดพอร์ตหลัก-รองพร้อมทุกสถานการณ์
ดังนั้น บลจ.กสิกรไทยแนะนำจัดพอร์ตแบบกระจายความเสี่ยงตามหลักการ Core & Satellite Portfolio โดยส่วนที่เป็น Core Portfolio เน้นลงทุนระยะยาวแบบ Asset Allocation ประมาณ 80% ของพอร์ต โดยแนะนำกองทุน K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-WPULTIMATE
และส่วนที่เป็น Satellite Portfolio เน้นลงทุนระยะสั้นแบบจับจังหวะตลาด (Market Timing) ประมาณ 20% ของพอร์ต โดยแนะนำกองทุน K-STAR, K-GBOND, K-FIXEDPLUS
สำหรับ K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP และ K-WPULTIMATE เป็นกองทุนผสมที่อยู่ในกลุ่มกองทุน K-WealthPLUS Series ที่มีกลยุทธ์เน้นกระจายการลงทุน (Asset Allocation) ในหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือก ในสัดส่วนที่แตกต่างกัน