‘ไทยยูเนี่ยน’ กางแผนปี 65 ตั้งเป้าโตฝ่าโควิด-เงินเฟ้อ รับพลังงานแพงจำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้า 7%
ข่าววันนี้ นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากธุรกิจหลักของบริษัทฯ ที่ประกอบด้วย อาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋อง อาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็น และอาหารสัตว์เลี้ยงและสินค้าเพิ่มมูลค่าอื่นๆ บริษัทฯ ได้เดินหน้าอย่างเต็มที่ผลักดันและขยายธุรกิจเข้าไปในสตาร์ทอัพด้านฟู้ดเทค และธุรกิจเพิ่มมูลค่า อาทิ โปรตีนทางเลือก และวัตถุที่เป็นส่วนผสมในอาหารหรือ ingredients ทั้งในด้านของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในหลากหลายและขยายฐานลูกค้าในวงกว้างขึ้น โดยในช่วงสองปีที่ผ่านมากับสถานการณ์โควิด-19 บริษัทได้ทุ่มเทดูแลสุขภาพและความปลอดภัยให้กับพนักงาน และเพื่อให้ยังคงสามารถผลิตสินค้าที่จะดูแลผู้บริโภคทั่วโลกของเราในด้านสุขภาพและโภชนาการได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งวิกฤตครั้งนี้ทำให้ต้องกลับมามองธุรกิจในมุมที่กว้างขึ้น รวมถึงการพัฒนาธุรกิจหลักแข็งแกร่งขึ้น ไปพร้อมกับพัฒนาธุรกิจใหม่ อาทิ โปรตีนทางเลือก สร้างโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลายเพื่อสร้างมูลค่าในระยะยาว โดยในปี 2564 บริษัทฯ มียอดขายเพิ่มขึ้น ถึง 6.5% อยู่ที่ 141,048 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 28.3% อยู่ที่ 8,013 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามีผลประกอบการที่ดีที่สุดเป็นประวัติการณ์ และยังคงเดินหน้าการลงทุนเชิงกลยุทธ์ เพื่อเร่งขับเคลื่อนขยายธุรกิจจากธุรกิจที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
“จากปัจจัยที่ธุรกิจอาหารแช่แข็งและแช่เย็นฟื้นตัวจากการที่ธุรกิจร้านอาหารและโรงแรมกลับมาเปิดในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของบริษัทฯ ประกอบกับธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและสินค้าเพิ่มมูลค่าทำผลงานได้ดี แม้ในปี2564 บริษัทฯ จะมีผลประกอบการที่ยอดเยี่ยมเป็นประวัติการณ์ในรอบ 45 ปีที่ก่อตั้งบริษัทมา แต่ก็ต้องบริหารจัดการฝ่าวิกฤตโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงรับมือกับอัตราเงินเฟ้อ วิกฤตโควิด-19 ที่ยังไม่จบลง และปัญหาในห่วงโซ่อุปทานและการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ในปี 2565 และปีต่อไป รวมถึงติดตามสถานการณ์สงครามรัสเซียและยูเครนอย่างใกล้ชิด เพราะแม้บริษัทฯ ยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่จากสถานการณ์ราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ทำให้ต้นทุนต่างๆ ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้ต้องยอมรับว่า การปรับราคาสินค้าขึ้นเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ โดยช่วงที่ผ่านมานับแต่ต้นปี 2565 ได้ปรับราคาขึ้นแล้วประมาณ 5-7% ซึ่งในระยะถัดไปคาดว่าจะสามารถบริหารจัดได้” นายธีรพงศ์ กล่าว
นายธีรพงศ์ กล่าวว่า แผนในปี 2565 ของบริษัทฯ จะเดินหน้าขยายธุรกิจ ผ่านงบลงทุนที่วางไว้กว่า 6,000 ล้านบาท(ไม่รวมงบการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ) เพื่อมุ่งเน้นในเรื่องอัตราการทำกำไรที่สูงขึ้น และธุรกิจใหม่ที่เพิ่มมูลค่า อาทิ ส่วนประกอบอาหาร อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและโปรตีนทางเลือก เพื่อให้สอดรับกับตลาดที่เติบโตเร็วในธุรกิจดังกล่าวและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2565 เติบโตไม่ต่ำกว่า 5% และจะเติบโตต่อเนื่องไปจนถึงปี 2568 ในขณะที่กำไรขั้นต้นตั้งเป้าเติบโตมากกว่า 20% โดยการทำงานด้านความยั่งยืนของบริษัทฯ รวมถึงการบริหารจัดการการเงินด้วย ซึ่งในปี 2564 บริษัทฯ เดินหน้าเรื่องการเงินที่ยั่งยืนผ่านโครงการBlue Finance หรือการเงินเพื่อธุรกิจที่มีส่วนช่วยดูแลท้องทะเลในประเทศไทย ด้วยสินเชื่อและหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนระยะยาว รวมทั้งสิ้น 27,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายให้ 75% ของเงินกู้ยืมระยะยาวของบริษัทเป็น Blue Finance ภายในปี 2568 และเนื่องจาก Blue Finance จะมีการตั้งเป้าหมายการทำงานเกี่ยวกับการดูแลท้องทะเล ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้นลงตามผลงานด้านความยั่งยืนที่ได้วางเป้าหมายไว้