เงินบาทเช้านี้ 20 พ.ค. เปิดตลาด “อ่อนค่าลง” ที่ระดับ 33.19 บาท/ดอลลาร์

ภาพรวมการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ที่ระดับ 33.19 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ 33.05 บาทต่อดอลลาร์ แม้ว่าก่อนหน้านี้เงินบาทจะเคยแข็งค่าขึ้นใกล้ระดับแนวรับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ แต่หลังจากนั้นกลับพลิกอ่อนค่าลงตามทิศทางเงินดอลลาร์ที่รีบาวด์ขึ้น มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าเคลื่อนไหวในกรอบ 33.03-33.20 บาทต่อดอลลาร์
ปัจจัยสนับสนุนการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ
เงินดอลลาร์ได้รับแรงหนุนจากภาวะคลายความกังวลในตลาดเกี่ยวกับอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ประกอบกับเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ยังยืนยันจุดยืนว่าไม่รีบปรับลดดอกเบี้ย โดยเฉพาะ Raphael Bostic ประธาน Fed สาขาแอตแลนตา ที่สนับสนุนการลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวในปีนี้ โดยระบุว่าควรรอจนกว่าจะมั่นใจว่าเงินเฟ้อกลับเข้าสู่เป้าหมายอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ นโยบายเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นหาก Donald Trump กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อและสนับสนุนทิศทางดอลลาร์
ภาวะตลาดหุ้น
ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ อย่าง S&P500 ปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยที่ระดับ +0.09% ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าระหว่างประเทศ ขณะที่ฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับขึ้น +0.13% จากแรงหนุนของผลประกอบการบริษัทขนาดใหญ่ในยุโรปที่ออกมาดีกว่าคาด และความคืบหน้าในข้อตกลงการค้าระหว่างสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร
ภาวะตลาดพันธบัตร
บอนด์ยีลด์ 10 ปีของสหรัฐฯ ย่อลงมาแตะระดับ 4.46% หลังจากก่อนหน้านี้ขึ้นไปเหนือระดับ 4.50% โดยแรงขายในช่วงก่อนหน้าเกิดจากความกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการคลังของสหรัฐฯ แต่เมื่อความเสี่ยงเริ่มผ่อนคลาย นักลงทุนกลับเข้าซื้อบอนด์ในจังหวะที่ราคาลดลง โดยเฉพาะนักลงทุนระยะยาวยังมองว่าการเข้าซื้อเมื่อยีลด์อยู่เหนือ 4.50% เป็นโอกาสที่ดี
ภาวะตลาดทองคำ
ราคาทองคำปรับตัวลดลงสู่ระดับ 2,322 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (สัญญา COMEX มิ.ย. 2025) ตามแรงขายทำกำไรของนักลงทุน และบรรยากาศการลงทุนที่เริ่มเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นหลังจากเงินดอลลาร์แข็งค่า อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจำนวนหนึ่งยังคงรอจังหวะในการเข้าซื้อเมื่อราคาทองคำย่อตัว โดยมองว่าทองคำยังมีบทบาทเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในระยะยาว
ปัจจัยเศรษฐกิจที่ตลาดจับตา
ตลาดยังคงให้ความสนใจกับถ้อยแถลงและท่าทีของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งอาจสะท้อนมุมมองใหม่ต่อทิศทางนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า โดยมีการคาดการณ์ว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ และอีก 2 ครั้งในปี 2026 นอกจากนี้ ยังมีการติดตามนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีน (PBOC) ที่อาจตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ย LPR ทั้งระยะ 1 ปีและ 5 ปี เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ซึ่งนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าอาจลดดอกเบี้ยลง 25 จุดพื้นฐานสู่ระดับ 3.85% ขณะที่ในฝั่งญี่ปุ่น นักลงทุนจับตาข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนเมษายน เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจของญี่ปุ่น
ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และการค้า
สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม รวมถึงความเคลื่อนไหวด้านนโยบายการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า ที่อาจเปลี่ยนแปลงหากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในปลายปี นอกจากนี้ ความคืบหน้าในการผ่านร่างกฎหมายด้านการคลัง (Fiscal Bill) ของสหรัฐฯ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญ โดยคาดว่าอาจมีความชัดเจนก่อนวัน Memorial Day ซึ่งตรงกับวันที่ 26 พฤษภาคมนี้
แนวโน้มค่าเงินบาท
เงินบาทมีแนวโน้มแกว่งตัวแบบ Sideways ในกรอบ 33.00–33.30 บาทต่อดอลลาร์ โดยยังมีปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าจากการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนให้แก่นักลงทุนต่างชาติ และแรงขายสินทรัพย์ไทยโดยเฉพาะหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติ แม้ว่าการไหลออกจะเริ่มชะลอลงบางส่วนแล้วก็ตาม ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวของราคาทองคำก็มีอิทธิพลต่อทิศทางของเงินบาท หากราคาทองคำปรับตัวขึ้น จะช่วยชะลอแรงอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้าง แต่หากราคาทองคำปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง อาจยิ่งกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าเพิ่มขึ้นตาม
กลยุทธ์รับมือความผันผวน
สภาวะตลาดการเงินในขณะนี้ยังเผชิญกับความผันผวนสองทิศทาง (Two-Way Volatility) จากทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ ทำให้นักลงทุนและผู้ประกอบการควรพิจารณาใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงเพิ่มเติม เช่น การใช้ตราสารอนุพันธ์ประเภท Options รวมถึงการกระจายความเสี่ยงโดยถือครองสินทรัพย์ในสกุลเงินท้องถิ่นหรือสกุลเงินที่มีเสถียรภาพมากขึ้น เพื่อป้องกันความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในระยะสั้นถึงกลาง