เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
#ทันหุ้น-บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index จะแกว่งตัว Sideways to Sideways Up ในกรอบ 1,377-1,387 จุด โดยมี Sentiment บวกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ทำ New High อย่างไรก็ตามเรามองการปรับขึ้นของดัชนียังไม่กว้าง หลังตัวเลขเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ เดือน ก.พ. ออกมาสูงกว่าคาดเล็กน้อย Headline +0.4% m-m, +3.2% y-y ส่วน Core +0.4% m-m, +3.8% y-y สะท้อนว่าการชะลอของเงินเฟ้อเริ่มช้าและหนืดมากขึ้น ส่งผลให้ Dollar Index และ Bond Yield ดีดตัวขึ้น โดยอายุ 10 ปี ขยับมาที่ 4.15% จากราว 4% ในสัปดาห์ก่อน
ค่าเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าค่อนข้างแรงแตะ 35.70 บาท/ดอลลาร์ ทำให้เรามองว่าการประชุม FED สัปดาห์หน้า โฟกัสที่ต้องจับตาคือ Dot Plot ใหม่ ว่าจะเห็นจำนวนครั้งในการปรับลดดอกเบี้ยจะน้อยลงจากเดือน ธ.ค. ที่มองปี 2024-2026 ปรับลง 3 ครั้ง / 4 ครั้ง / 3 ครั้ง ตามลำดับหรือไม่ ซึ่งหากแนวโน้มตึงตัวขึ้นจะเป็นปัจจัยกดดันสินทรัพย์เสี่ยง
สำหรับตลาดหุ้นไทย ประเด็นกกต.ยื่นขอยุบพรรคก้าวไกล หากเปรียบเทียบกับการยุบพรรคอนาคตใหม่ ตลาดไม่ได้ตอบรับอย่างมีนัยยะจนถึงวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ ซึ่งทำให้ SET Index ร่วงแรง 4% ในวันถัดมา แต่เป็นผลจากการระบาดของ COVID-19 ระลอกแรก ภาพรวมตลาดยังรอปัจจัยบวกจากบประมาณประจำปี 2567 ที่คาดว่าจะผ่านสภาฯได้และประกาศใช้ต้นเดือน เม.ย. หนุนความเชื่อมั่นและทำให้ภาคการลงทุนเร่งตัว และทำให้โมเมนตัมเศรษฐกิจและกำไรบจ.จะทยอยเร่งตัวใน 2024 โดยเฉพาะตั้งแต่ 2Q24 เป็นต้นไป
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่แนวโน้มกำไรปี 2024 แข็งแกร่งและเทรด PER/PBV ต่ำเทียบกับ Pre-Covid // ถือลงทุนหลังสะสมหุ้นเพิ่มบริเวณ 1,350 จุด
หุ้นเด่นเดือน มี.ค.: BDMS, HMPRO, KCG, SHR, TACC
FSSIA Portfolio : AOT, BCH, CPALL, CPN, GPSC, MINT, NSL, SJWD, and TIDLOR
หุ้นเด่นวันนี้ : KCG
• แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 12 บาท
• เราคาดกำไรปี 2024 จะมีลุ้นทำ New High ต่อเนื่อง บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2024 เติบโต double-digit เน้นขยายลูกค้า B2B และ B2C กลุ่มลูกค้ารายใหญ่ การออกสินค้าใหม่ ส่งออกและขายออนไลน์เพิ่มขึ้น ส่วน Gross Margin น่าจะยืนที่ 30% จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบโดยรวมยังทรงตัวและส่วนใหญ่ล็อกราคาไว้แล้ว
• โมเมนตัมรายได้ 1QTD ยังโตดี y-y และมี gross margin ยังยืนสูง ขณะที่ 2H24 SG&A มีแนวโน้มลดลงจากโครงการ logistic park ที่จะเริ่มดำเนินงาน ระยะยาวมีแผนขยายกำลังผลิตเนยอีก 25% คาดเสร็จ 2Q25คงคาดกำไรสุทธิปี 2024 +14% y-y ราคาหุ้นปัจจุบันเทรด PE ต่ำเพียง 14 เท่า
• แนวรับ 9-8.90 บาท แนวต้าน 9.35//9.50-9.60 บาท
**บล.ดาโอ คาดดัชนีฯ ผันผวนต่อ แม้ผ่านเรื่องเงินเฟ้อ(ตัวแรก)ของสหรัฐฯ มาแล้ว แต่ยังมีเงินเฟ้อของผู้ผลิต(PPI) ดอกเบี้ยจีน และ FTSE rebalance รออยู่ในสัปดาห์นี้ โดยการที่เงินเฟ้อสหรัฐฯ ออกมาที่ 3.2% สูงกว่าคาด 3.1% เพียงเล็กน้อย ตลาดหุ้นไม่สะเทือนมาก แต่ผลไปปรากฎที่ตลาดทองคำและพันธบัตรมากกว่า (Bond Yield 10 ปี ปรับตัวขึ้นมาเป็นวันที่ 3 ที่ 4.14%) ตลาดหุ้นเอเซียวันนี้ บางตลาดจะตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากหุ้น Tech แต่คาด Fund Flow จะรอดูตัวเลข PPI ในวันที่ 14 ก่อนที่จะเข้าหรือออกจากตลาดเอเซีย
• มี surprise จาก BOJ อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยก่อนถึงเดือน เม.ย. โดย BOJ จะมีประชุม สัปดาห์หน้า ในวันที่ 19 มี.ค. เช้านี้ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น พลิกตัวกลับ น่าจะส่งผลบวกมาถึงตลาดเอเซียอื่นๆ ด้วย
• การประชุม NPC ของจีนจบลงไป โดยที่ไม่มีการแถลงผลประชุม (เป็นไปตามที่มีการให้ข่าวในการประชุมวันแรก) ทำให้นักลงทุนต้องเก็งว่า ทางการจีน จะมีวิธีอย่างไรที่จะฟื้นความเชื่อมั่นและทำให้GDP ขยายตัวได้ถึง 5% (สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด) ... เราประเมินว่า การประชุมดอกเบี้ยของธนาคารกลางจีน (15 และ 20 มี.ค.) จะเป็นตัวชี้ว่า จีนจะเริ่มกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ โดยเราให้น้ำหนักในทางบวกสำหรับตลาดหุ้นจีน(ฮ่องกง)ไว้แล้ว ทั้งนี้ คาดหุ้นไทย ที่จะได้ประโยชน์จากจีนฟื้นตัว กลุ่มแรกๆ คือ กลุ่มเดินเรือ (PSL) และอีเล็คทรอนิคส์ (KCE)
• กกต.มติเอกฉันท์ส่งศาล รธน.ยุบ "ก้าวไกล" ตัดสิทธิ กก.บห.พรรคปมแก้ ม.112 .... เรื่องนี้ อาจทำให้นักลงทุนรอดูผล โดยเราประเมินว่า ผลวินิจฉัยจะมีผลต่อตลาดหุ้นไม่มากนัก และจะใช้เวลาไม่นานในการวินิจฉัย (เป็นคำร้องต่อเนื่องจาก ที่ศาลฯ เคยวินิจฉัยไปเมื่อ 31 ม.ค.67)
• ตลาดหุ้นไทยจะผันผวนตลอดทั้งสัปดาห์จากการ rebalance ของ ดัชนี FTSE 2 ดัชนี คือ FTSE Global Equity Index Series และ FTSE/ASEAN 40 Index โดยใช้ราคาปิดวันที่ 15 มี.ค. จะทำให้ราคาหุ้นที่เกี่ยวข้อง มีความผันผวนในช่วง 2 วันก่อนหน้า และวันหลังจาก rebalance อีก 1 วัน
• ตัวเลขเศรษฐกิจและ Event วันนี้ : ธปท.จะแถลงในเรื่อง persistent debts และศูนย์วิจัยกสิกรไทย จะแถลงในเรื่อง “Thai economy and structural problems”
Strategy
• ตลาดผ่านตัวเลขเงินเฟ้อ(CPI) ของสหรัฐฯ มาแล้ว แต่คาดแรงซื้อยังไม่กลับเข้าตลาด กลยุทธ์ในวันนี้ ยังให้เป็นขายทำกำไร และสลับตัวเล่น
• แผนการเทรด มีจุด check point ขาขึ้นไว้ 2 จุด คือ 1396 และ 1404 จุด ส่วนขาลง คือ 1380 , 1376 และ 1362 จุด
• theme ลงทุน ตอนนี้ มี 3 theme คือ ปันผลสูง-หุ้นชั้นดี-หุ้นราคาลงมาลึก
• หุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง เราแนะนำ SCB, TISCO , DMT และ PTT
• หุ้นที่กำไรและแนวโน้มหุ้นที่ยังดี ให้หาจังหวะเข้าซื้อ มีตัวเลือก 5 ตัว คือ HMPRO, GLOBAL, WHA, SJWD, AOT และ BDMS
• หุ้นที่ราคาลงมาลึกๆ วันนี้เราเลือก AP, BH, KCE, ADVANC
• หุ้นในพอร์ตวันนี้ เรานำ SJWD เข้ามาใหม่ และคงหุ้นเดิมไว้ทั้งหมด หุ้นในพอร์ตประกอบไปด้วย SJWD(10%), KCE(10%), WHA(10%)
**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด ประเมินดัชนี SET ทรงตัวในกรอบแนวรับ 1,370 – 1,375 แนวต้าน 1,385 – 1,390 คาดทรงตัวรอผลการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า แนะนำทยอยซื้อ CPALL,CPAXT,BJC /กลุ่มส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง ITC, AAI ได้แรงหนุนบาทอ่อนค่าและกำลังซื้อจากตลาดจีนคาดปรับดีขึ้น / BAM,JMT,CHAYO,KTC คาด กนง.มีโอกาสลดดอกเบี้ยในครึ่งปีหลัง
PLUS* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 7.65 บาท) ผู้บริหารคาดในปี 67 รายได้จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 40-50% โดยกลยุทธ์การเติบโตจะมาจากการขยายช่องทางการตลาด ควบคู่ไปกับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยไลน์การผลิตใหม่ PET Aseptic ปัจจุบันเดินเครื่องผลิตและส่งออกใน 1Q67 แล้ว ซึ่งมีกำลังการผลิตสูงระดับ 48,000 ขวดต่อชั่วโมง หรือ 150 ล้านขวดต่อปี ซึ่งสามารถรองรับดีมานด์ของลูกค้าได้มาก นอกจากนี้ยังตั้งเป้าหมายในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อปีไม่น้อยกว่า 20 SKUs โดยสินค้าในกลุ่มขวด PET ปัจจุบัน น้ำมะพร้าว 100% แบรนด์ COCO ROYAL จะเติบโตจากตลาดจีน และเครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมวุ้นมะพร้าวแบรนด์ MABU COCO เติบโตได้ดีในกลุ่มตะวันออกกลางและยุโรป ส่วนแผนการขยายสาขาที่ขายในห้าง Walmart สหรัฐอเมริกาให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเพิ่มจาก 3,000 สาขาในปัจจุบัน เป็น 4,000 สาขาภายในปีนี้ ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 67-68 ที่ 241 ล้านบาท +28%YoY และ 297 ล้านบาท +23%YoY
BDMS (ซื้อ/ ราคาเป้าหมาย 35.00 บาท) BDMS วางเป้า 3 ปี รายได้เติบโตที่ CAGR +10% จำนวนเตียงที่ 9,300 เตียงในปี2027(จาก 23 ที่ 8,600 เตียง) Occ. Rate ที่ 75% และ EBITDA Margin ที่ 25% โดยในปี24 นี้ คาดจำนวนเตียงจะเพิ่มขึ้นราว 213 เตียง(ร.พ.พญาไทยศรีราชา 2/ ร.พ.เด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล) คาดรายได้ +10-12%YoY (สูงกว่าประมาณการของเราที่ +8.5%YoY ) วางเป้าผู้ประกันตนSSO ปีนี้ที่ 9แสนราย และปีหน้า 1ล้านราย (โควต้า 1.5 ล้านราย) สำหรับแนวโน้มระยะสั้น รายได้(1ม.ค.-21ก.พ.67) ยัง +11%YoY ฝั่งไทยได้แรงหนุนจากกลุ่มผู้ป่วยทางเดินหายใจและเด็ก ส่วนฝั่งต่างชาติได้แรงหนุนจากจีน ทั้งนี้ ปัจจุบัน เราวางกำไรสุทธิปี24 และ ปี25 ที่ 15,824 ลบ.( +10.08%YoY) และ 16,983 ลบ.(+7.32%YoY)