รีเซต

ถกยกเลิกรับเด็กพิการสติปัญญาเข้าอนุบาล ชั่งสิทธิเด็กกับภาระระบบดูแล

ถกยกเลิกรับเด็กพิการสติปัญญาเข้าอนุบาล ชั่งสิทธิเด็กกับภาระระบบดูแล
TNN ช่อง16
22 ธันวาคม 2568 ( 13:00 )
12

ประเด็น “ยกเลิกรับเด็กบกพร่องทางสติปัญญาอายุ 3 ถึง 5 ปี” ในระดับอนุบาล ทั้งแบบอยู่ประจำและไปกลับ กลายเป็นข้อถกเถียงที่ตัดกันระหว่างหลักสิทธิเด็กกับความพร้อมของระบบการศึกษาพิเศษ เมื่อมีการเปิดให้แสดงความคิดเห็นแบบโหวต เห็นด้วยให้ใส่เลข 1 ไม่เห็นด้วยให้ใส่เลข 2 พร้อมขอให้ผู้ตอบระบุว่ามีส่วนได้ส่วนเสียหรือไม่

จุดเริ่มต้นของการถกเถียงมาจากการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการยกเลิกรับนักเรียนชั้นอนุบาลในโรงเรียนเฉพาะความพิการสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจัดขึ้นวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ณ ห้องประชุม สพฐ. ชั้น 2 โดยคุณสุชาติ โอวาทวรรณสกุล นายกสมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย ในฐานะผู้แทนสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย เข้าร่วมรับฟังและเสนอความเห็น เพื่อให้การพิจารณานโยบายคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก

เหตุผลของฝ่ายระบบ เมื่อความปลอดภัยมาก่อนความตั้งใจ

เหตุผลที่สนับสนุนการยกเลิกรับอนุบาลในกลุ่มนี้ ถูกอธิบายจากโจทย์การดูแลรายวันเป็นหลัก ได้แก่ เด็กอายุน้อยอาจสื่อสารกับคนรอบข้างได้จำกัด ทำกิจกรรมร่วมกับเด็กคนอื่นยาก ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และเมื่อเจ็บป่วยอาจไม่มีคนดูแลเพียงพอ

เมื่อเรียงลำดับเหตุผลแบบระบบ จะเห็นการตั้งสมมติฐานว่า หากโรงเรียนไม่มีบุคลากรและทรัพยากรที่รองรับเด็กเล็กที่ต้องการการดูแลมากเป็นพิเศษ ความเสี่ยงเรื่องอุบัติเหตุ สุขภาพ และภาระงานครูจะสูงขึ้น นำไปสู่คำถามว่า การรับเด็กเข้าเรียนแล้วไม่สามารถจัดบริการได้ครบถ้วน ถือว่าเป็นผลดีต่อเด็กจริงหรือไม่

เหตุผลของฝ่ายผู้ปกครอง เมื่อปฏิเสธตั้งแต่ต้นทางคือการปิดประตูโอกาส

ฝั่งผู้ปกครองไม่เห็นด้วย โดยชี้ว่าเหตุผลที่ถูกยกขึ้นมาเป็นคำอธิบาย “ความจำเป็นของการศึกษาพิเศษ” มากกว่าจะเป็นเหตุผลในการปฏิเสธ เพราะการสื่อสารไม่คล่อง ทำกิจกรรมร่วมยาก หรือช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ คืออาการที่ต้องได้รับการฝึกทักษะในชั้นเรียนที่ออกแบบเฉพาะ

ข้อโต้แย้งจึงถูกวางบนหลักความเท่าเทียม เด็กทั่วไปอายุใกล้เคียงกันยังเข้าเรียนอนุบาลได้ ทำไมเด็กบกพร่องทางสติปัญญาจึงถูกตัดสิทธิ ทั้งที่ความบกพร่องมีหลายระดับ และวัย 3 ถึง 5 ปีเป็นช่วงสำคัญต่อการพัฒนาการสื่อสาร การเล่น การเข้าสังคม และการฝึกทักษะชีวิตพื้นฐาน

นอกจากนี้ ผู้ปกครองยังย้ำว่าอนุบาลไม่ได้เป็นเรื่องของเด็กอย่างเดียว โรงเรียนคือพื้นที่ที่ทำให้ครอบครัวมีเครือข่าย ได้แลกเปลี่ยนแนวทางเลี้ยงดู เข้าถึงคำแนะนำจากครูเฉพาะทาง และเดินแผนพัฒนารายบุคคลได้ต่อเนื่อง หากตัดอนุบาลออก ระบบสนับสนุนครอบครัวจะหายไปพร้อมกัน

ตัวเลขที่ทำให้ข้อถกเถียงหนักขึ้น โรงเรียนเฉพาะทางมีจำกัด

ข้อกังวลอีกด้านอยู่ที่ “ทางเลือก” ของครอบครัว โดยโรงเรียนปัญญานุกูลเป็นเครือข่ายโรงเรียนที่ดูแลเด็กพิการทางสติปัญญา มี 19 แห่งทั่วประเทศ ภายใต้สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กระจายอยู่หลายจังหวัด เช่น สุพรรณบุรี กาฬสินธุ์ ฉะเชิงเทรา ชุมพร นครราชสีมา ลพบุรี ระยอง อุบลราชธานี เชียงราย เป็นต้น

จำนวน 19 แห่งหมายถึงการกระจายบริการที่ยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่อยู่แล้ว เมื่อพิจารณาควบคู่กับข้อเท็จจริงว่าครอบครัวจำนวนมากมีข้อจำกัดเรื่องการเดินทาง เวลา และค่าใช้จ่าย การยกเลิกรับอนุบาลจึงถูกมองว่าเพิ่มโอกาสที่เด็กจะหลุดจากระบบตั้งแต่ปฐมวัย เพราะไม่มีที่ไป หรือไปได้แต่ไม่ต่อเนื่อง

วิเคราะห์เชื่อมเหตุผล สองฝ่ายเห็นต่างเพราะมองคนละจุด

หากมองให้เป็นเหตุเป็นผล ความเห็นต่างเกิดจากการเริ่มต้นคนละฐาน ฝ่ายระบบเริ่มจาก “ความพร้อมของบริการ” และ “ความปลอดภัย” จึงเลือกตัดความเสี่ยงออกก่อน ส่วนฝ่ายผู้ปกครองเริ่มจาก “สิทธิและโอกาสของเด็ก” จึงมองว่าการปฏิเสธคือการตัดอนาคตตั้งแต่ต้นทาง

เมื่อสองฐานมาชนกัน คำถามสำคัญจึงไม่หยุดอยู่ที่รับหรือไม่รับ แต่ขยับไปที่ว่า หากระบบกังวลเรื่องคนดูแลและความปลอดภัย ระบบควรแก้ด้วยการเพิ่มผู้ช่วยครู เพิ่มบุคลากรเฉพาะทาง วางมาตรฐานสัดส่วนครูต่อเด็ก จัดบริการสุขภาพและการส่งต่อเมื่อเด็กป่วย รวมถึงออกแบบห้องเรียนให้เหมาะกับเด็กเล็ก มากกว่าการตัดระดับชั้นออกไปทั้งก้อน

ในทางกลับกัน หากต้องปรับรูปแบบจริง ภาครัฐต้องตอบให้ชัดว่าเด็กอายุ 3 ถึง 5 ปีจะได้รับบริการที่ไหน ใครรับผิดชอบค่าใช้จ่าย เกณฑ์การเข้าถึงคืออะไร และทำอย่างไรให้เด็กไม่หลุดระบบระหว่างทาง เพราะการเปลี่ยนผ่านที่ไม่มีแผนรองรับมักลงเอยด้วยภาระทั้งหมดที่กลับไปอยู่ที่ครอบครัว

ทางออกที่ทำให้เดินต่อได้ร่วมกัน

ข้อเสนอที่ทำให้สองฝ่ายมีจุดร่วมคือการประเมินผลกระทบก่อนตัดสินใจ โดยให้ข้อมูลชัดเจนทั้งจำนวนเด็กที่ได้รับผลกระทบ ความสามารถรองรับของโรงเรียนในแต่ละพื้นที่ และทรัพยากรที่จำเป็น หากยังคงรับอนุบาล ต้องเติมทรัพยากรให้ตรงจุด ถ้าปรับรูปแบบ ต้องมีระบบส่งต่อที่จับต้องได้ ไม่ปล่อยให้ครอบครัวเดินลำพัง

การประชุมเมื่อ 18 ธันวาคม 2568 จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ เพราะนโยบายด้านการศึกษาพิเศษเกี่ยวข้องกับทั้งสิทธิเด็ก ความเท่าเทียม และความพร้อมของรัฐ การตัดสินใจที่ดีต้องทำให้เด็กได้เรียนอย่างปลอดภัย และทำให้ระบบดูแลทำงานได้จริงในชีวิตประจำวัน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง