ค่ายรถยุโรประส่ำ! หยุดผลิต-โละพนักงาน ยอดขายตก

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า บริษัท Valmet Automotive จากฟินแลนด์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ตามสัญญา หรือผู้รับจ้างผลิตรถยนต์หลายรุ่น ให้กับ Mercedes-Benz Group เตรียมจะลดพนักงานเกือบ 1 ใน 3 ของทั้งหมด ถือเป็นสัญญาณล่าสุด ที่สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรป
ผู้รับจ้างผลิตรายดังกล่าว ระบุในแถลงการณ์บอกว่า จะลดจำนวนพนักงาน, เลิกจ้างพนักงานชั่วคราว และโอนย้ายพนักงานบางส่วน ไปทำงานในตำแหน่งใหม่ที่โรงงานประกอบรถยนต์ ซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Uusikaupunki ทางตะวันตกเฉียงใต้ของ ประเทศฟินแลนด์ แผนการลดพนักงานครั้งนี้ จะส่งผลกระทบกับแรงงานประมาณ 1,075 คน หรือ คิดเป็นร้อยละ 30 ของจำนวนพนักงานทั้งหมด
โดย Valmet Automotive เป็นผู้ผลิตรถยนต์รุ่น Mercedes-Benz A-Class มาตั้งแต่ปี 2013 และยังผลิตรถ เอสยูวี รุ่น GLC รวมถึงรถสปอร์ตหรู Mercedes-AMG GT Coupé แบบ 4 ประตูอีกด้วย
ตามข้อมูลจากโฆษกบริษัทฯ เผยว่า เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่จะเข้าสู่อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยจะทำหน้าที่เป็นผู้รับจ้างผลิต และจะแยกธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ออกไปเป็นอีกบริษัทหนึ่งต่างหาก
ก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียว กลุ่มบริษัท Stellantis ประกาศว่าจะหยุดการผลิตชั่วคราวที่โรงงานประกอบรถยนต์ ในอิตาลี และฝรั่งเศส เนื่องจากความต้องการที่ลดลง ขณะเดียวกันก็มีรายงานข่าวจากสื่อท้องถิ่นฝรั่งเศสว่า สเตลแลนทิส ได้หยุดผลิตที่โรงงานในประเทศอื่น ๆ ในยุโรปด้วย
Stellantis ประกาศภายหลังประชุมกับตัวแทนสหภาพแรงงานท้องถิ่น ว่าบริษัทฯ จะหยุดการผลิตรถยนต์รุ่น Alfa Romeo Tonale และ Fiat Panda ที่โรงงานในเมือง Pomigliano ในประเทศอิตาลี ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายนนี้
ขณะเดียวกัน ก็ยืนยันว่าจะหยุดการดำเนินงานของโรงงานที่ตั้งอยู่ในเมือง Poissy ใกล้กรุงปารีส ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม ซึ่งโรงงานในฝรั่งเศสแห่งนี้ ผลิตรถยนต์แบรนด์ Opel และ DS และจะส่งผลให้คนงานถูกพักงานราว 3,800 คน
บริษัทฯ ระบุในแถลงการณ์ บอกว่า ขณะนี้ อยู่ระหว่างการปรับจังหวะการผลิตในโรงงานบางแห่งในยุโรป โดยมีเป้าหมายที่จะปรับอัตราการผลิตให้สอดคล้องกับตลาดยุโรป ที่มีความท้าทายมากขึ้น พร้อมกับบริหารจัดการสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดภายในสิ้นปีนี้
ด้านแหล่งข่าว เผยว่า เป็นโรงงานที่เมือง Tychy ของ โปแลนด์ เมือง Eisenach ในเยอรมนี และโรงงานอีก 2 แห่งในสเปน ก็กำลังเผชิญกับการหยุดผลิตชั่วคราวเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม โฆษกของบริษัทฯ ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวดังกล่าว // แต่ก่อนหน้านี้ สื่อธุรกิจในฝรั่งเศส Les Echos ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้ว
บลูมเบิร์ก รายงานอีกว่า ผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปกำลังเผชิญกับปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน จากยอดขายที่ลดลง เนื่องจากผู้ผลิตจากจีนเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะ BYD กำลังขยายตลาดด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีราคาแข่งขันได้
นอกจากนี้ Stellantis ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์รถยนต์สัญชาติอเมริกัน อย่าง Jeep และ Dodge ก็กำลังได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และยอดขายที่ลดลงด้วยเช่นกัน
ด้าน รอยเตอร์ส รายงานว่า ยอดจดทะเบียนรถยนต์ในยุโรป ช่วงเดือนมกราคม ถึง กรกฎาคม ปีนี้ ค่อนข้างทรงตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ประมาณ 7 ล้าน 9 แสนคัน แต่ยอดจดทะเบียนรถยนต์ของกลุ่ม สเตลแลนทิส ลดลงร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เหลือ 1 ล้าน 1 แสน 9 หมื่นคัน
นอกจากนี้ Stellantis เผยด้วยว่า คำสั่งซื้อรถรุ่น อัลฟ่า โรมิโอ โทนาเล ก็ได้รับผลกระทบจากภาษีศุลกากรในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของแบรนด์ ส่วนการตัดสินใจระงับผลิต แพนด้า เป็นการปรับประสิทธิภาพของโรงงาน เพราะช่วงปลายปีคำสั่งซื้อจากบริษัทเช่ารถ และองค์กรใหญ่ ๆ มักลดลงอยู่แล้ว
สำหรับสถานการณ์ของ Porsche ล่าสุดได้ปรับลดคาดการณ์ปี 2025 เนื่องจากชะลอการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่
โดย Porsche คาดการณ์ผลตอบแทนจากการดำเนินงานจากยอดขาย จะอยู่ที่ไม่เกินร้อยละ 2 ในปีนี้ ลดลงจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 5 ถึง 7 และเป็นการปรับลดคาดการณ์เป็นครั้งที่ 4 ของปี เป็นผลจากการชะลอแผนเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่นออกไป เนื่องจากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดอ่อนแอลง รวมถึงแรงกดดันจากตลาดสำคัญอย่างจีน และภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ สะท้อนถึงความท้าทายของแบรนด์รถยนต์ที่มีชื่อเสียงที่สุด ที่ได้รับผลกระทบจากตลาดสำคัญทั้ง 2 ตลาด
ซึ่ง Porsche ระบุว่า รถเอสยูวี รุ่นใหม่ที่วางตำแหน่งเหนือว่ากรุ่น Cayenne จะยังไม่เปิดตัวในรูปแบบรถไฟฟ้าล้วนในช่วงแรก แต่จะมีเฉพาะรุ่นที่เป็นเครื่องยนต์สันดาปภายใน และรถรุ่นไฮบริด เท่านั้น
การปรับลดคาดการณ์ของ Porsche ยังส่งผลกระทบต่อบริษัทแม่ คือ Volkswagen ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของยุโรป เป็นมูลค่าประมาณ 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และทำให้ต้องปรับลดคาดการณ์ลงตาม อีกด้วย
ด้าน Oliver Blume ซีอีโอ ของทั้งสองบริษัทฯ กล่าวกับนักวิเคราะห์ ก่อนหน้านี้ บอกว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการยานยนต์ สำหรับ บริษัทฯ ได้ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญแล้ว และถึงเวลาที่จะลงมือทำ ซึ่งมันจะเป็นเส้นทางที่ยากลำบากและยาวนาน รวมถึงต้องใช้ความมุ่งมันและความพยายามอย่างเต็มที่จากเรา
สำหรับสถานการณ์ตลาดรถยนต์ในยุโรป รอยเตอร์ส รายงานว่า กลุ่มรถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) กำลังเติบโตอย่างมาก เพราะเป็นทางเลือกที่ประหยัดและอยู่กึ่งกลางระหว่างรถเครื่องยนต์ล้วนกับรถไฟฟ้าล้วน และยังผลักดันให้ยอดขายของผู้ผลิตรถยนต์จีน เติบโตขึ้นแซงแบรนด์ยุโรปบางแบรนด์
เป็นข้อมูลที่เปิดเผยออกมาล่าสุด จากบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลยานยนต์ JATO Dynamics ที่เผยว่า ผู้ผลิตรถยนต์จีนขายรถในยุโรปรวมกัน ได้มากกว่าแบรนด์ Renault และ Audi ในเดือนสิงหาคม โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ที่พุ่งสูงขึ้น
โดยข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม ผู้ผลิตรถยนต์จีนมีส่วนแบ่งตลาดรวม อยู่ที่ร้อยละ 5.5 มียอดขายรวมกันมากกว่า 43,500 คัน เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว (121%) จากเดือนเดียวกันปีก่อน และสูงกว่ายอดขายของ อาวดี้ ที่มียอดขาย 41,300 คัน และ เรอโนลต์ ที่มียอดขาย 37,800 คัน
ส่วนยอดขายรถปลั๊กอินไฮบริดรวม 28 ประเทศในยุโรป เพิ่มขึ้นร้อยละ 59 เป็นจำนวนเกือบ 84,000 คัน โดยแบรนด์จีนมียอดขายเพิ่มขึ้น 14 เท่า เป็น 11,000 คัน
รถรุ่น Seal U จาก บีวายดี, Jaecoo J7 ของ Chery และ MG HS ของ SAIC ติดอยู่ใน 10 อันดับแรก รถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ที่ขายดีที่สุดในยุโรป
จากข้อมูลพบว่า เทสลา รุ่น โมเดล วาย ยังคงเป็นรถยนต์ไฟฟ้าประเภท บีอีวี ที่ขายดีที่สุดในยุโรป แต่ยอดขายกลับลดลงร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสวนทางกับยอดขาย บีอีวี โดยรวมที่ยังเติบโตดี โดยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า บีอีวี ในยุโรปเพิ่มขึ้นร้อยละ 27 สูงกว่าการเติบโตของตลาดรวมที่เติบโตอยู่ที่ ร้อยละ 5
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
