ตีแผ่ตัวเลขน่าห่วง วัยรุ่นไทยติด HIV เฉลี่ยเกือบ 360 คนต่อเดือน ปี 68

เมื่อเอดส์ยังไม่หายไป ไทยเผชิญหน้าการติดเชื้อใหม่เกือบหมื่นรายในปี 2568
กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยข้อมูลที่น่าเป็นห่วงจากการคาดการณ์สถานการณ์เอชไอวีในประเทศไทยประจำปี 2568 โดยคาดว่าจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ประมาณ 8,862 คน และผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์สูงถึง 10,217 คน ขณะที่ผู้ติดเชื้อสะสมที่ยังมีชีวิตอยู่มีจำนวนมากถึง 568,565 คน ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าแม้จะมีความก้าวหน้าในการรักษา แต่ประเทศไทยยังคงต้องเผชิญกับภาระด้านสาธารณสุขที่หนักหน่วงจากโรคนี้
วิกฤตเยาวชน เกือบครึ่งผู้ติดเชื้อใหม่อายุแค่ 15-24 ปี
ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคเผยภาพที่น่าตกใจเมื่อพบว่าในปี 2565 ผู้ติดเชื้อรายใหม่เกือบครึ่งหนึ่งหรือ 4,379 คนจากทั้งหมด 9,230 คน เป็นเยาวชนอายุระหว่าง 15-24 ปี สถานการณ์นี้ยิ่งน่าเป็นห่วงเมื่อพิจารณาถึงแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มวัยรุ่น โดยอัตราป่วยของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 5 โรคหลักในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นจาก 99.6 รายต่อประชากรแสนคนในปี 2560 เป็น 112.3 รายในปัจจุบัน
พฤติกรรมเสี่ยงที่เป็นต้นเหตุหลักคือการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 96% ของการติดเชื้อรายใหม่ ในขณะที่การติดเชื้อจากการใช้เข็มร่วมกันมีเพียง 3% เท่านั้น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางเพศของเยาวชนในยุคดิจิทัลที่สามารถพบปะคนแปลกหน้าได้ง่ายขึ้นผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ทำให้โอกาสเสี่ยงสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อการป้องกันถูกลืม อัตราการใช้ถุงยางอนามัยลดลงอย่างน่าวิตก
นายแพทย์พงศ์ธร ชาติพิทักษ์ ผู้อำนวยการกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค ชี้ให้เห็นปัญหาสำคัญที่อัตราการสวมถุงยางอนามัยระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นลดลงมาก สาเหตุอาจมาจากการที่ไม่ได้ยินข่าวการพบผู้ป่วยเป็นประจำ ทำให้คนหนุ่มสาวเกิดความคิดผิดๆ ว่าโรคนี้หายไปแล้ว จึงละเลยการป้องกันตนเอง
ปัญหายิ่งทวีความรุนแรงเมื่อความรู้เกี่ยวกับยาป้องกัน PrEP และ nPEP ยังไม่แพร่หลายในหมู่เยาวชนเท่าที่ควร ประกอบกับการขาดการติดตามสถานะสุขภาพของตนเองและความไม่กล้าเข้ารับการตรวจเลือด ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อที่ไม่ทราบสาเหตุและแพร่กระจายในกลุ่มวัยรุ่นมากขึ้น
ปัญหาเก่าที่ยังไม่หาย การตีตราและการเลือกปฏิบัติ
นอกจากปัญหาด้านการป้องกันแล้ว การตีตราและการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวียังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในการควบคุมโรค ผลสำรวจในปี 2566 พบว่าประชาชนไทยถึง 27.9% ยังมีทัศนคติเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ สถานการณ์นี้รุนแรงยิ่งขึ้นในกลุ่มเยาวชนอายุ 18-24 ปีที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี ซึ่งมีการตีตราตนเองสูงถึง 49.3% และถูกละเมิดสิทธิ 7.5%
การตีตราดังกล่าวไม่เพียงส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงบริการรักษาและการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อในสังคม เมื่อผู้ติดเชื้อไม่กล้าเปิดเผยสถานะหรือเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
แผนที่ความเสี่ยง 5 จังหวัดที่ต้องเฝ้าระวัง
จากข้อมูลการเฝ้าระวังทั่วประเทศ พบว่ามีจังหวัดที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ 5 แห่ง ที่พบโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี เชียงใหม่ นครราชสีมา และมหาสารคาม
จังหวัดมหาสารคามเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ โดยในปี 2568 พบผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 443 ราย อัตราป่วย 46.91 ต่อแสนประชากร แบ่งเป็นเอชไอวี 136 ราย หนองใน 102 ราย ซิฟิลิส 85 ราย ไวรัสตับอักเสบบี 51 ราย และหูด 25 ราย ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวอยู่ในระดับที่พบเป็นประจำทุกปีประมาณ 400-500 ราย
ความหวังที่ยังมีอยู่ การรักษาที่มีประสิทธิภาพ
แม้สถานการณ์จะดูน่าเป็นห่วง แต่ยังมีข่าวดีในด้านการรักษา ปัจจุบันการเข้าถึงการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) อยู่ที่ประมาณ 83-85% ของผู้ติดเชื้อที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้ป่วยที่ได้รับยาและกินอย่างต่อเนื่องสามารถลดโอกาสแพร่เชื้อได้หรือแทบไม่แพร่เชื้อเลย
อัตราการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูกก็ลดลงเหลือเพียง 1.11% ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนายาป้องกันต่างๆ เช่น PrEP สำหรับป้องกันก่อนสัมผัสเชื้อ และ nPEP สำหรับการป้องกันฉุกเฉินหลังสัมผัสเชื้อภายใน 72 ชั่วโมง
เป้าหมายปี 2573 ยุติปัญหาเอดส์ในไทย
ประเทศไทยได้วางเป้าหมายที่ทะเยอทะยานในการยุติปัญหาเอดส์ภายในปี 2573 โดยต้องลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ให้ต่ำกว่า 1,000 รายต่อปี และลดการเสียชีวิตจากเอดส์ให้ต่ำกว่า 4,000 รายต่อปี เมื่อเทียบกับตัวเลขปัจจุบันที่ยังสูงกว่าเป้าหมายมาก แสดงให้เห็นว่าต้องใช้ความพยายามอย่างจริงจังในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
เป้าหมายระดับโลก "95-95-95" ที่หมายถึง 95% ของผู้ติดเชื้อรู้สถานะ 95% ได้รับการรักษา และ 95% สามารถกดไวรัสในร่างกายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ ยังเป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องมุ่งมั่นเพื่อให้บรรลุผล
สถานการณ์เอดส์ในประเทศไทยปัจจุบันชี้ให้เห็นว่าแม้จะมีความก้าวหน้าในหลายด้าน แต่การต่อสู้กับโรคนี้ยังไม่สิ้นสุด ความท้าทายหลักอยู่ที่การเปลี่ยนพฤติกรรมของกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะเยาวชน การลดการตีตราในสังคม และการเพิ่มการเข้าถึงบริการป้องกันและรักษา
การสร้างค่านิยมใหม่ในกลุ่มวัยรุ่นให้มีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการป้องกันตนเอง การส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ และการลดอุปสรรคในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข จะเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายยุติปัญหาเอดส์ในประเทศไทยภายในปี 2573 ตามที่รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายไว้