โลกร้อนเร่งหายนะ พายุ–น้ำท่วมถล่มเอเชีย คร่า 1,600 ชีวิตในไม่กี่สัปดาห์

ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่ศรีลังกาไปจนถึงอินโดนีเซีย ต้องเผชิญกับพายุไซโคลนเขตร้อนถึง 3 ลูกติดต่อกัน ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องและน้ำท่วมรุนแรง ความเสียหายรวมประเมินไว้ไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมทั้งบ้านเรือน ธุรกิจ แหล่งท่องเที่ยว โครงสร้างพื้นฐานอย่างถนนและทางรถไฟ พื้นที่เกษตรกรรม รวมถึงภาคการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม
งานวิเคราะห์เร่งด่วนของกลุ่ม World Weather Attribution (WWA) ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ระบุว่า อุณหภูมิน้ำในมหาสมุทรอินเดียที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยตามฤดูกาลราว 0.2 องศาเซลเซียส มีส่วนช่วยเพิ่มพลังให้กับพายุไซโคลนที่รุนแรงที่สุดสองลูก ได้แก่ ไซโคลนดิตวาห์ และไซโคลนเซนยาร์ เนื่องจากน้ำทะเลที่อุ่นขึ้นสามารถกักเก็บพลังงานความร้อนและไอน้ำได้มากขึ้น
นักวิจัยยังชี้ว่า หากปราศจากภาวะโลกร้อนที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ อุณหภูมิน้ำทะเลในบริเวณดังกล่าวควรจะเย็นกว่านี้ราว 1 องศาเซลเซียส และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังมีแนวโน้มเพิ่มความรุนแรงของฝนตกหนักในช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของพายุครั้งนี้
ปัจจัยเสริมที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ได้แก่ การเกิดพายุในช่วงฤดูมรสุม การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว และการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งลดความสามารถของพื้นที่ในการดูดซับน้ำฝน ส่งผลให้ปริมาณน้ำจำนวนมหาศาลไหลบ่ากลายเป็นอุทกภัยครั้งใหญ่
ลลิธ ราชปักษา จากมหาวิทยาลัยโมราตูวา ประเทศศรีลังกา ระบุว่า ปกติระดับน้ำท่วมในฤดูมรสุมอาจสูงเพียง 1–2 ฟุต แต่ครั้งนี้ในบางพื้นที่ระดับน้ำสูงเกิน 14–15 ฟุต อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยยอมรับว่ายังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ปริมาณฝนจากพายุเพิ่มขึ้นมากเพียงใด เนื่องจากแบบจำลองสภาพภูมิอากาศหลักให้ผลลัพธ์ที่ไม่สอดคล้องกัน โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับพลวัตระดับภูมิภาคและปรากฏการณ์อย่างลานีญา
ผู้เชี่ยวชาญด้าน ESG จาก BMI ซึ่งเป็นหน่วยงานในเครือ Fitch Solutions ชี้ว่า แบบจำลองสภาพภูมิอากาศมักประเมินความเร็วของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริงต่ำกว่าความเป็นจริงตั้งแต่ราวปี 2022 เป็นต้นมา ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ของ HSBC ระบุว่า ความไม่แน่นอนนี้สร้างภาระต่อเศรษฐกิจ การดำรงชีวิต และการประเมินความเสี่ยงของบริษัทประกันและสถาบันการเงินในภูมิภาค
น้ำท่วมครั้งใหญ่ในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเพิ่มความรุนแรงของภัยพิบัติทางธรรมชาติ แม้จะยังยากต่อการคำนวณผลกระทบเชิงปริมาณอย่างแม่นยำ แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า โลกที่ร้อนขึ้นกำลังทำให้เหตุการณ์สุดขั้วเกิดบ่อยและรุนแรงยิ่งขึ้น ความท้าทายสำคัญในอนาคตจึงไม่ใช่เพียงการรับมือกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นแล้ว หากแต่รวมถึงการปรับตัว วางแผน และลดปัจจัยเสี่ยงเชิงโครงสร้าง เพื่อปกป้องชีวิต เศรษฐกิจ และความมั่นคงของสังคมในระยะยาวด้วย
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
