รีเซต

ทำไม “เป็นเบาหวาน” อาจถูกปฏิเสธวีซ่าสหรัฐฯ กฎใหม่ยุคทรัมป์อ้างภาระสุขภาพ

ทำไม “เป็นเบาหวาน” อาจถูกปฏิเสธวีซ่าสหรัฐฯ กฎใหม่ยุคทรัมป์อ้างภาระสุขภาพ
TNN ช่อง16
11 พฤศจิกายน 2568 ( 11:39 )
33

🇺🇸 ทำไม “เป็นเบาหวาน” อาจถูกปฏิเสธวีซ่าสหรัฐฯ

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2025 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกคำสั่งภายในถึงสถานทูตทั่วโลก ให้เพิ่ม “เกณฑ์ด้านสุขภาพ” ในการพิจารณาวีซ่า ภายใต้กฎ Public Charge หรือ “ภาระสาธารณะ” ซึ่งถูกฟื้นฟูและขยายขอบเขตโดยรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ในสมัยที่สอง

แนวทางใหม่นี้ระบุว่า ผู้สมัครที่มีภาวะสุขภาพเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ โรคอ้วน มะเร็ง หรือโรคเกี่ยวกับเมแทบอลิซึม อาจถูกประเมินว่ามีแนวโน้ม “เป็นภาระต่อระบบสาธารณสุขของรัฐ” และอาจถูกปฏิเสธวีซ่าเข้าสหรัฐฯ ได้ หากไม่สามารถแสดงหลักฐานว่ามีทรัพยากรทางการเงินเพียงพอสำหรับการดูแลรักษาโรคในระยะยาว

กฎ Public Charge คืออะไร

กฎ Public Charge มีรากฐานตั้งแต่ปี 1882 ในกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อพยพที่ “ไม่สามารถดูแลตัวเองได้โดยไม่พึ่งรัฐ” เข้ามาในประเทศ ต่อมาได้ถูกตีความเข้มงวดขึ้นในบางยุค โดยเฉพาะในรัฐบาลทรัมป์ ที่ขยายความหมายของ “ภาระสาธารณะ” จากเดิมที่เน้นเฉพาะผู้พึ่งพาสวัสดิการ ไปสู่ผู้ที่อาจต้องใช้บริการสุขภาพระยะยาวในอนาคต

ในปี 2025 รัฐบาลทรัมป์ได้ออก คำสั่งบริหาร (Executive Order) ชื่อ “Ending Taxpayer Subsidization of Open Borders” เพื่อยุติการใช้ภาษีชาวอเมริกันสนับสนุนการอพยพ โดยให้เจ้าหน้าที่สถานทูตตรวจสอบสุขภาพผู้ยื่นอย่างละเอียด รวมถึงความสามารถในการรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลตลอดชีวิต

เหตุผลหลักของนโยบาย

รัฐบาลสหรัฐฯ ให้เหตุผลว่า โรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น เบาหวาน หรือโรคอ้วน มีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงและต่อเนื่อง อาจส่งผลต่อระบบสาธารณสุขและสวัสดิการของรัฐในระยะยาว จึงต้องจำกัดการเข้ามาของผู้ที่อาจสร้างภาระดังกล่าว

แนวปฏิบัตินี้ยังให้เจ้าหน้าที่พิจารณาปัจจัยร่วมอื่นๆ เช่น

  • อายุ (โดยเฉพาะผู้สูงอายุ)
  • รายได้และหลักฐานทางการเงิน
  • ทักษะภาษาอังกฤษและการศึกษา
  • ประวัติการใช้สวัสดิการของรัฐ
  • ภาวะสุขภาพของสมาชิกในครอบครัวที่อยู่ในอุปการะ

ทั้งหมดนี้ถูกนำมาคำนวณรวมกันเพื่อประเมินว่า “ผู้สมัครมีแนวโน้มพึ่งพารัฐหรือไม่”

ใครได้รับผลกระทบ

แม้กฎนี้ใช้กับผู้สมัครเกือบทุกประเภท แต่ ผู้ขอกรีนการ์ด (Immigrant Visa) จะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากต้องตรวจสุขภาพอย่างละเอียดก่อนพำนักถาวรในสหรัฐฯ ส่วนวีซ่าท่องเที่ยว (B1/B2) หรือวีซ่านักเรียน (F1) มักไม่ต้องตรวจสุขภาพลึกซึ้ง แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังสามารถใช้ดุลพินิจได้หากพบข้อมูลด้านสุขภาพที่น่ากังวล

เสียงวิจารณ์และข้อถกเถียง

นักกฎหมายและนักสิทธิมนุษยชนวิจารณ์ว่า นโยบายดังกล่าว ขาดพื้นฐานทางการแพทย์ และเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่กงสุล ซึ่งไม่ได้รับการฝึกอบรมทางการแพทย์ ใช้ดุลพินิจส่วนตัวในการตัดสินสุขภาพของผู้สมัคร

นอกจากนี้ ยังมีการชี้ว่าการนำโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หรือโรคอ้วน มาใช้เป็นเหตุปฏิเสธวีซ่า อาจเข้าข่าย การเลือกปฏิบัติ (Discrimination) เพราะโรคเหล่านี้สามารถควบคุมได้ด้วยการรักษาที่เหมาะสม

ความขัดแย้งยิ่งทวีขึ้นเมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศลดราคายาลดน้ำหนัก Ozempic และ Wegovy ให้คนอเมริกันเข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่กลับใช้ภาวะอ้วนเป็นเหตุจำกัดคนต่างชาติ ทำให้ถูกมองว่า “ขัดแย้งเชิงนโยบาย” อย่างชัดเจน

ผลกระทบที่ควรรู้

ผู้ยื่นขอวีซ่าควรเตรียมหลักฐานเพิ่มเติม เช่น

  • หนังสือรับรองแพทย์ยืนยันว่าควบคุมโรคได้ดี
  • หลักฐานการมีประกันสุขภาพ
  • รายการทรัพย์สินและรายได้ที่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล

เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการถูกมองว่าเป็นภาระต่อรัฐ และเพิ่มโอกาสผ่านการพิจารณาวีซ่า

นโยบายใหม่ของรัฐบาลทรัมป์ภายใต้กฎ Public Charge ถือเป็นการขยายเกณฑ์ตรวจคนเข้าเมืองไปยังด้านสุขภาพอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น เบาหวาน อ้วน หรือโรคหัวใจ ที่ถูกมองว่าเป็นภาระทางงบประมาณ

แม้นโยบายอ้างเหตุผลด้านการเงินและสวัสดิการของชาติ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าอาจสร้างภาพจำด้านลบต่อผู้ป่วยเรื้อรัง และละเมิดหลักความเท่าเทียมในการเข้าถึงโอกาสของผู้คนทั่วโลก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง