รีเซต

ZIGA เทิร์นอะราวด์แรง 110% เจาะกลุ่ม B2C - มาร์จิ้นสูง

ZIGA  เทิร์นอะราวด์แรง 110% เจาะกลุ่ม B2C - มาร์จิ้นสูง
ทันหุ้น
8 กุมภาพันธ์ 2567 ( 23:31 )
25
ZIGA  เทิร์นอะราวด์แรง 110% เจาะกลุ่ม B2C - มาร์จิ้นสูง

 

#ZIGA #ทันหุ้น – ZIGA โชว์ผลงานปี 2566 กวาดกำไร 422.5 ล้านบาท พลิกเทิร์นอะราวด์แรง 110.9% ฟากบิ๊กบอส “ศุภกิจ งามจิตรเจริญ” เดินหน้าเจาะกลุ่ม B2C ชี้มาร์จิ้นสูง ลุยโปรโมตออนไลน์ เข้าถึงง่าย ตั้งเป้ารายได้ปี 2567 โต 10% เดินหน้าคลอดโปรดักต์ใหม่ทำเงิน

 

นายศุภกิจ งามจิตรเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิก้า อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ZIGA เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 2566 บริษัทพลิกมีกำไร 41.6 ล้านบาท จากปี 2565 ที่ขาดทุน 380.9 ล้านบาท หรือมีกำไรเพิ่มขึ้น 422.5 ล้านบาท คิดเป็น 110.9%

 

** พลิกบวกแรง

ส่วนรายได้ปี 2566 ทำได้ 770.9 ล้านบาท เทียบกับปี 2565 ที่ 1,124.1 ล้านบาท ลดลง 353.2 ล้านบาท หรือลดลง 31.4% เนื่องจากบริษัทเลือกบริหารจัดการสินค้าเฉพาะกลุ่มที่บริษัทได้กำไร และลดสัดส่วนสินค้าที่มีโอกาสขาดทุน เพราะต้นทุนผันผวนตามราคาเหล็กและอัตราแลกเปลี่ยน จึงทำให้รายได้ของสินค้าลดลง

 

“งบปี 2566 ถือว่าโอเค และเป็นไปตามแผนที่เราวางไว้ เราพยายามติดตามผลประกอบการมาจากจุดที่ติดลบหนัก ขาดทุนหลายไตรมาสติด และปี 2566 กลับมาบวกทุกไตรมาส ทุกอย่างที่เราปรับจากอุตสาหกรรมก่อสร้าง และแยกไปเซ็กเมนต์อื่นๆ เช่น เกษตร หรือหากลุ่มผู้ใช้งานจริง ก็เริ่มเห็นผลและทำให้เรากลับมาเป็นบวก” นายศุภกิจ กล่าว

 

ขณะที่แผนการดำเนินธุรกิจช่วงไตรมาส 1/2567 บริษัทยังเดินหน้าตามที่ตั้งเป้าไว้ โดยจะเข้าหากลุ่มผู้ใช้งานจริง หรือ B2Cและทำการตลาดกลุ่มนี้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเราขาย B2B เป็นกลุ่มใหญ่ ทำให้อัตราการทำกำไร (มาร์จิ้น) ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ปัจจุบันบริษัทปรับกลยุทธ์โดยเจาะกลุ่ม B2C และเข้าถึงกลุ่มคนใช้จริงมากขึ้น ผ่านการโฆษณาทางโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊ก Tik Tok และอินสตราแกรม

 

** ออกนิวโปรดักต์

อย่างไรก็ตามบริษัทมั่นใจจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และมียอดขายเพิ่มขึ้น เพราะสินค้าของ ZIGA เป็นสินค้าที่ตอบโจทย์กับผู้ใช้งานจริง อีกทั้งสินค้ามีคุณภาพที่ดี เหมาะกับการใช้งานต่างๆ นอกจากนี้ในต้นไตรมาส 2/2567 บริษัทจะออกสินค้าใหม่ เพื่อรองรับกับความต้องการใช้งาน บริษัทคาดการขายสินค้าโดยตรงให้กับ B2C จะช่วยเพิ่มอัตราการทำกำไร (มาร์จิ้น) ปี 2567 ให้สูงขึ้น และคาดสัดส่วนยอดขายจากกลุ่ม B2C จะอยู่ที่ระดับ 20% ขึ้นไปของยอดขายรวม

 

นายศุภกิจ กล่าวต่อว่า ภาพรวมยอดขายปี 2567 คาดจะเติบโตระดับ 10% ซึ่งบริษัทมองเป็นการเติบโตแบบ Conservative เพราะดูจากสถานการณ์และการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ อาจจะยังไม่ฟื้นตัวชัด และยังมีความเสี่ยงสูง

 

อนึ่ง ตามที่บริษัทมีการแจ้งข่าวผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2566 บริษัทจะดำเนินการไถ่ถอนหุ้นกู้ ก่อนครบกำหนดชำระ โดยจะทำการไถ่ถอนในวันที่ 27 กมุภาพันธ์ 2567 เป็นจำนวน 126,685,000บาท ซึ่งบริษัทคาดการณ์ว่าจะสามารถดำรงอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ (DSCR) เท่ากับ 1.26 เท่า

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง