"ชัตดาวน์สหรัฐฯ" ที่อาจจะยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์

สถานการณ์ "ชัตดาวน์" ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่มีแววว่าจะยืดเยื้อออกไปถึงอย่างน้อย ๆ ก็เดือนพฤศจิกายน สร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯอีกรอบ ซึ่งตามมาด้วยความเสียหายกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อสัปดาห์ และสถานการณ์ชัตดาวน์ครั้งนี้อาจจะยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา
สถานการณ์การปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯในปัจจุบันหรือว่าการชัตดาวน์ ที่อาจจะกินเวลายาวนานไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งภาวะชัตดาวน์ครั้งนี้ทำให้เงินงบประมาณราว 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1 ใน 4 ของการใช้จ่ายภาครัฐต่อปี ต้องหยุดชะงัก ส่วนงบที่เหลือส่วนใหญ่เป็นงบสำหรับโครงการด้านสุขภาพ เงินบำนาญ และการชำระดอกเบี้ยหนี้สาธารณะที่ขณะนี้แตะระดับ 37.88 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งสถานการณ์นี้มีการประเมินกันว่าอาจจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯในหลากหลายแง่มุม โดยมีการประเมินความเสียหายว่าอยู่ที่ราว 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะฤดูกาลท่องเที่ยวช่วงวันขอบคุณพระเจ้าในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การเดินทางคึกคักที่สุดตลอดทั้งปี ที่อาจจะต้องอยู่ในความเสี่ยงที่การเดินทางท่องเที่ยวอาจจะเจอกับอุปสรรคครั้งใหญ่
โดยในปัจจุบันการเดินทางเริ่มเจอกับปัญหาหยุดชะงักบ้างแล้ว เนื่องจากทั้งเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ และเจ้าหน้าที่สำนักงานความปลอดภัยการขนส่ง หรือ TSA กำลังถูกขอให้ทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ซึ่งผลกระทบดังกล่าวอาจรุนแรงขึ้น ถ้าหากทั้งพรรครีพับลิกัน และเดโมแครตยังไม่สามารถที่จะตกลงกันได้
และความหวังของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ที่จะใช้เป็นเครื่องมือกดดันพรรคเดโมแครตก็ริบหรี่ลง เมื่อคำตัดสินของศาลแขวงสหรัฐฯ ประจำเขตแคลิฟอร์เนียตอนเหนือได้ระงับแผนการของโดนัลด์ ทรัมป์ที่จะใช้มาตรการปิดหน่วยงานเพื่อปลดพนักงานรัฐบาลกลางออกอย่างถาวร
ทำให้การการดำเนินการล่าสุดที่รัฐบาลสามารถช่วยชะลอผลกระทบจากการปิดหน่วยงานรัฐที่รุนแรงที่สุดทั้งทางการเมือง และเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ได้จัดสรรงบประมาณใหม่เพื่อจ่ายให้กับทหารประจำการในสัปดาห์นี้ และยังจัดสรรเงินอีกราว 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในโครงการช่วยเหลือด้านอาหารสำหรับคุณแม่ที่มีรายได้น้อย
ถึงแม้ว่ามาตรการดังกล่าวอาจจะสามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนบางส่วน แต่ในระยะถัดไป รัฐบาลก็อาจจะไม่สามารถจัดสรรงบประมาณในการนำมาใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าในลักษณะนี้ได้อีก ซึ่งทางฟากฝั่งของรัฐบาลก็เน้นย้ำว่าเจ้าหน้าที่รัฐทั้งหมดหลังจากนี้ ก็อาจจะไม่ได้รับเงินเดือนเลย และนั่นก็เป็นเพราะความพยายามขัดขวางของพรรคเดโมแครต
ขณะที่ในวุฒิสภาเอง ประเด็นที่มีการถกเถียงกันจนเป็นเหตุผลสำคัญที่ไม่เห็นชอบร่างงบประมาณของรีพับลิกัน และกลายเป็นต้นตอของการชัตดาวน์ในครั้งนี้คือ ร่างของพรรเดโมแครตที่รวมการขยายเงินอุดหนุนด้านเฮลท์แคร์ซึ่งกำลังจะหมดอายุในสิ้นปีนี้ ผ่านกฎหมาย Affordable Care Act ซึ่งช่วยให้ประชาชนราว 24 ล้านคนสามารถซื้อประกันสุขภาพได้
โดยที่พรรคเดโมแครตยืนยันว่าการต่ออายุเงินอุดหนุนนี้เป็นข้อเรียกร้องหลัก ซึ่งถ้าหากพรรครีพับลิกันยกเลิกประกันสุขภาพทั้งหมด จะเป็นการปล่อยให้ประชาชน ลูกหลาน และคู่สมรสต้องทนทุกข์ทรมานจากปัญหาสุขภาพ
ขณะที่การปิดหน่วยงานรัฐบาลหลายสัปดาห์ โดยไม่มีความคืบหน้าในการเจรจา หรือแม้แต่สัญญาณว่าทั้ง 2 พรรคการเมืองจะเจรจากันได้ ก็จะยิ่งส่งแรงกดดันไปยังการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งนักวิเคราะห์จากหลายสำนักก็มองว่า ปัจจัยดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุนเพียงเล็กน้อยในระยะสั้น แต่ถ้าหากสถานการณ์ยืดเยื้ออกไปเกินกว่าเดือนพฤศจิกายน ก็อาจจะต้องมีการประเมินสถานการณ์กันอีกครั้งหนึ่ง
ที่สำคัญปัญหานี้ยังได้ส่งผลกระทบต่อกระแสการลงทุนในเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะารลงทุนในโครงการปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ มีมูลค่าหลักแสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีการเริ่มโครงการในหลายโครงการอย่างต่อเนื่อง แต่การปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางกำลังจะเข้ามาเป็นอุปสรรคมากขึ้น
และเมื่อเราย้อนไปดูการชัตดาวน์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก จะพบว่ามีการชัตดาวน์มาแล้วถึง 12 ครั้ง เมื่อนับรวมในครั้งนี้ นับตั้งแต่ปี 1976 เป็นต้นมา โดยกินเวลาตั้งแต่ 5 วัน ไปจนถึง 34 วัน
ซึ่งถ้าหากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีความชัดเจนใด ๆ จนถึงเดือนพฤศจิกายน การชัตดาวน์ครั้งนี้จะกลายเป็นการชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ โดยมีเส้นตายในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งถ้าข้ามเส้นตายในวันดังกล่าวไปก็จะเป็นการทำลายสถิติการชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุด 34 วันลงได้ในปี 2018 และประธานาธิบดีคนที่สร้างสถิตินั้นไว้ก็คือ โดนัลด์ ทรัมป์ นั่นเอง
สถานการณ์ชัตดาวน์ของสหรัฐฯยังคงอยู่บนความไม่แน่นอน และยังไม่มีความชัดเจน หลังจากนี้เราคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าความวุ่นวายนี้จะจบลงเช่นไร จะมีฝ่ายไหนยอมถอยเพื่อผลประโยชน์โดยรวมของประชาชนหรือไม่
เพราะการต่อสู้หรือตั้งเงื่อนไขระหว่าง 2 พรรคการเมือง ไม่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และหากปัญหายืดเยื้อรุนแรงก็อาจจะส่งผลกระทบไปยังภาพรวมเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ ด้วย เราคงได้แต่หวังว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่ได้ทำลายสถิติการชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ซึ่งเค้าเป็นผู้สร้างสถิตินั้นขึ้นมาเอง
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
