STGTถุงมือราคาพุ่งอีก สู่หุ้นปันผลหนักโตแรง
ทันหุ้น-STGT กำไรยังทะยานอีก เผยราคาขายเฉลี่ยถุงมือยางในไตรมาส 1/64 เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากไตรมาส 4/63 ความต้องการสินค้าล้น มีการเสนอราคาซื้อเข้ามาเอง มาทั้งสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น กำไรขั้นต้นแซงมาเลเซียแล้ว เชื่อปีนี้เป็นปีทองพุ่งอีก ส่วนการออกหุ้นกู้ 8 พันล้านบาท เตรียมซื้อกิจการหรือขยายกำลังการผลิต จับตาปันผลทุกไตรมาสครั้งละ 1.0-1.2 บาท
นางสาวธนวรรณ เสงี่ยมศักดิ์ กรรมการและผู้อำนวยการสายงานบัญชีและการเงิน บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT เปิดเผยว่า บริษัทคาดราคาขายเฉลี่ยถุงมือยางในไตรมาสแรกปีนี้จะปรับขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2563 ซึ่งระดับราคาที่ปรับขึ้นมาจากความต้องการถุงมือยางที่ยังมีอยู่สูงมาก จึงทำให้ลูกค้าเสนอราคาซื้อมาเอง โดยไม่ได้เกิดจากการปรับขึ้นราคาของบริษัทแต่อย่างใด
ทั้งนี้ลูกค้าที่แสดงความต้องการซื้อถุงมือยางเข้ามานั้น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าจากประเทศสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น โดยในไตรมาส 4/2563 พบว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทปรับขึ้นมากกว่าผู้ประกอบการของมาเลเซียแล้ว โดยผู้ประกอบการในมาเลเซีย จะมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ประมาณ 40% เศษ ขณะที่ STGT อยู่ที่ระดับ 62-63%
นอกจากนี้มองว่าในปี 2564 จะเป็นปีที่ดีของ STGT ซึ่งคาดว่าผลประกอบการจะดีกว่าในปี 2563 เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการถุงมือยางที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ประกอบการในมาเลเซีย ประสบปัญหาพนักงานมีการติดเชื้อโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อกำลังการผลิต, รวมถึงผู้ประกอบการมาเลเซียยังได้รับแรงกดดันในกรณีที่กดขี่ผู้ใช้แรงงาน จึงทำให้ลูกค้าต่างชาติหันมาซื้อสินค้าจาก STGT มากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทก็ยังได้เปรียบในแง่ของแหล่งวัตถุดิบ จากบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ซึ่งเป็นบริษัทแม่คอยสนับสนุน
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าแนวโน้มในอนาคตราคาขายถุงมือยางมีโอกาสอ่อนตัวลงได้ แม้ว่าความต้องการจะยังมีอยู่ แต่ได้รับผลกระทบจากการที่ผู้ประกอบการหลายรายมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น รวมถึงมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามา เนื่องจากราคาขายที่สูงขึ้น จึงเป็นแรงจูงใจ แต่ในส่วนของ STGT นั้นจะมีบรรทัดฐานราคาของบริษัทอยู่แล้ว
**ออกหุ้นกู้เร่งขยาย
นางสาวธนวรรณ กล่าวอีกว่า การที่คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการออกหุ้นกู้มูลค่าไม่เกิน 8,000 ล้านบาท เป็นการเตรียมการไว้ล่วงหน้า เพราะในอนาคตหากมีโอกาสเข้าไปซื้อกิจการ หรือ M&A เข้ามา หรือมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่ม ก็สามารถระดมทุนได้ทันที ดังนั้นบริษัทจึงเตรียมขอมติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ในวันที่ 2 เมษายน 2564 ไว้ก่อน
ส่วนความคืบหน้าในการนำหุ้น STGT เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ คาดว่าหุ้นจะเข้าซื้อขายได้ประมาณเดือนเมษายน 2564 นี้ ซึ่งเมื่อหุ้นเข้าซื้อขายแล้วเชื่อว่าจะทำให้หุ้นมีสภาพคล่องมากขึ้น
ทั้งนี้มองว่าหุ้น STGT จะเป็นหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลทุกไตรมาส จึงเป็นหุ้น Dividend Stock รวมถึงการที่ผลประกอบการมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้เป็นหุ้น Growth Stock
**ออเดอร์ล้นยาว 30 เดือน
STGT แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ในปี 2563 บริษัทมีปริมาณคำสั่งซื้อที่รอการส่งมอบ (Backlog) สูงสุดของบริษัท สำหรับถุงมือยางธรรมชาติ หรือ NR ที่มีต่อเนื่องไปถึง 13 เดือน และถุงมือยางสังเคราะห์ หรือ NBR ที่มีต่อเนื่องไปจนถึง 30 เดือน
ขณะที่บริษัทมีการขยายกำลังการผลิตใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ 80,000 ล้านชิ้นภายในปี 2567 ซึ่งได้เริ่มดำเนินการและคาดว่าจะแล้วเสร็จเร็วกว่าแผนเดิมที่วางไว้อีก 2 ปี ซึ่งในสิ้นปี 2565 จะมีกำลังการผลิตติดตั้งอยู่ที่ 50,000 ล้านชิ้นต่อปี คิดเป็นอัตราเติบโตจากปี 2563 ที่ 54.5% โดยคาดว่าจะมีการผลิตถุงมือยาง NR ในอัตรา 60% และถุงมือยาง NBR ในอัตรา 40%
**ปันผล 1.0-1.2 บาทต่อไตรมาส
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำซื้อหุ้น STGT โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 53 บาทต่อหุ้น ซึ่งมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการ ที่คาดว่าจะยังทำนิวไฮต่อเนื่องถึงไตรมาส 2/2564 เป็นอย่างน้อย จากราคาขายต่อชิ้นที่สูงขึ้น และคาดว่าสถานการณ์ขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์จะดีขึ้น
นอกจากนี้แผนการเข้าจดทะเบียน Dual listing ในตลาดหุ้นสิงคโปร์ อาจทำให้ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ปรับขึ้นได้ หากราคาหุ้นในตลาดสิงคโปร์ปรับตัวขึ้นไปซื้อขายที่พี/อี เรโช ระดับเดียวกับกลุ่มในประเทศมาเลเซียได้
และยังมองว่าหุ้น STGT เป็นหุ้นที่คาดหวังเงินปันผลได้ เนื่องจากจะจ่ายเงินปันผลทุกไตรมาสในปี 2564 คาดราว 1.0-1.2 บาทต่อหุ้น