รีเซต

จีนปฏิวัติอุตสาหกรรมโลกครั้งที่ 4 ด้วย New-Quality Productive Forces (ตอน 3)

จีนปฏิวัติอุตสาหกรรมโลกครั้งที่ 4 ด้วย New-Quality Productive Forces (ตอน 3)
TNN ช่อง16
24 กันยายน 2568 ( 14:05 )
4

ประการสำคัญที่ตามมาก็คือ จีนต้องทำอะไร? อย่างไร? หากต้องการพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่? และคาดว่าจะมีผลกระทบต่อภาคส่วนอื่นอย่างไร? คุยกันต่อเลยครับ ...

โดยที่ “นวัตกรรม” ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีถูกมองว่าจะให้กำเนิดอุตสาหกรรมใหม่ โมเดลใหม่ และกำลังขับเคลื่อนใหม่ และเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับการพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่ในที่สุด 

ดังนั้น จีนจึงต้องเร่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งและคิดค้นนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บ่มเพาะกำลังขับเคลื่อนใหม่สำหรับการพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่ และเพิ่มระดับของความสำเร็จของการปรับปรุงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของตนเอง แทนที่จะ “รอคอย” ผลการวิจัยขั้นพื้นฐานของโลกตะวันตกมาต่อยอดในเชิงพาณิชย์ดังเช่นในอดีต

ในการนี้ นักวิจัยหนุ่มดีกรีปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์แห่งแดนมังกรให้ความเห็นว่า จีนควรเร่งดำเนินการในหลายส่วนไปพร้อมกันเพื่อบรรลุการสร้างกำลังการผลิตคุณภาพใหม่

ภารกิจแรก การให้ความสำคัญกับการวิจัยและนำเอาความสำเร็จของนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ ว่าง่ายๆ จีนควรเชื่อมช่องว่างระหว่างการค้นพบทางทฤษฎีและการประยุกต์ใช้ความสำเร็จดังกล่าวเข้ากับอุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ปรับโครงสร้างและยกระดับอุตสาหกรรมดั้งเดิม บ่มเพาะและขยายอุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพ วางแผนและสร้างอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และปรับปรุงระบบการผลิตสมัยใหม่

ภารกิจที่ 2 การออกแบบห่วงโซ่อุตสาหกรรม จีนควรมุ่งเน้นการพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่เพื่อเอาประโยชน์สูงสุดผ่านการออกแบบห่วงโซ่อุตสาหกรรม เพิ่มความยืดหยุ่นและความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานและอุตสาหกรรมเพื่อให้มั่นใจว่าระบบอุตสาหกรรมมีความเป็นอัตโนมัติ ปลอดภัย น่าเชื่อถือ และควบคุมได้ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมระบบนิเวศทางการเงินที่สามารถรักษาการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมได้

ภารกิจที่ 3 การวางแผนอย่างเป็นวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับภารกิจเชิงกลยุทธ์ โดยควรมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่และการเสริมสร้าง “ชาติการผลิตและเกษตรกรรม” ที่แข็งแกร่ง ยืดหยุ่น และมีคุณภาพสูงบนเครือข่ายดิจิตัล

อีกภารกิจสำคัญได้แก่ การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิตัลอย่างจริงจัง โดยจีนควรส่งเสริมการผนวกเศรษฐกิจดิจิตัลเข้ากับเศรษฐกิจที่แท้จริง และรังสรรค์คลัสเตอร์อุตสาหกรรมดิจิตัลให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันระดับระหว่างประเทศ

อีกประเด็นหนึ่งที่คนไทยอาจสงสัยกันค่อนข้างมากเวลาจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือความท้าทายครั้งใหญ่เข้ามา ก็คือ ผลกระทบต่อการจ้างงาน เศรษฐกิจมหภาค และอื่นๆ

ในมุมมองของผม การพัฒนากำลังการผลิตคุณภาพใหม่อาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างและตลาดแรงงานในหลายมิติ แต่เราต้องเข้าใจโลกของความเป็นจริงที่ว่า “การเปลี่ยนแปลงใดๆ ย่อมส่งผลเชิงบวกและเชิงลบด้วยกันทั้งสิ้น” แต่จีนประเมินว่า การเดินหน้าในส่วนนี้น่าจะส่งผลดีมากกว่าผลเสียในระยะยาว

ประการแรก การปรับโครงสร้างการจ้างงานและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กล่าวคือ งานที่ใช้ทักษะน้อยและมีลักษณะของการทำซ้ำสูงคาดว่าจะถูกระบบอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์ทดแทน ดังที่เราเห็นในโรงงานผลิตยุคใหม่ที่นำเอา “แขนกล” เข้ามาแทนแรงงานมนุษย์ สิ่งนี้อาจทำให้การจ้างงานในอุตสาหกรรมดั้งเดิม อาทิ การผลิตขั้นพื้นฐาน และการทำเหมืองแร่ ลดลง ผลกระทบอาจขยายในวงกว้าง อาทิ ในภูมิภาคที่ล้าหลังด้านเทคโนโลยี 

แต่ในอีกด้านหนึ่ง โอกาสการจ้างงานใหม่ที่มีทักษะและคุณภาพสูงก็จะเกิดขึ้นในสาขาอุตสาหกรรมใหม่หรือภูมิภาคที่มีกำลังขับเคลื่อนใหม่ อาทิ การพัฒนาด้านเทคโนโลยี การวิเคราะห์ข้อมูล พลังงานสีเขียว การวิจัยและพัฒนา และบริการขั้นสูง ซึ่งช่วยเพิ่มคุณภาพของแรงงานโดยรวม และขับเคลื่อนเศรษฐกิจมหภาคให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน

นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเราเห็นจีนผลิตทุนสมองด้าน STEM (Science, Technology, Engineering & Mathematic) เข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นจำนวนมาก (มากกว่าของสหรัฐฯ ถึง 4 เท่าตัวต่อปี) บัณฑิตเหล่านี้มีคุณภาพสูง และเป็นส่วนสำคัญในการสร้างนวัตกรรมและสตาร์ตอัพชั้นนำอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น DeepSeek ที่เกิดจากกลุ่มวิศวกรเจนมิลเลนเนียลที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน

มองในอีกด้านหนึ่ง สถาบันการศึกษาชั้นนำของจีนกำลังเป็น “ทางเลือกใหม่” ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อการเสริมสร้างความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมโลก นอกเหนือจาก MIT, Silicon Valley และ Cambridge เป็นต้น

ประการที่ 2 การเปลี่ยนทักษะฝีมือ ผมประเมินว่า แรงงานในอนาคตยังต้องการทักษะใหม่ในระดับที่สูงขึ้น อาทิ ความรู้ด้านดิจิตัล การแก้ไขปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ และความรู้ข้ามสาขาวิชา รวมทั้งประสบการณ์ทำงานที่หลากหลาย นั่นเท่ากับว่า “การพัฒนาทักษะใหม่” และ “การเรียนรู้ตลอดชีพ” กำลังเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการพัฒนาระบบการศึกษาแ3ละการรักษาตำแหน่งงาน 

ประการที่ 3 การเพิ่มผลผลิต และการแยกขั้วของค่าจ้าง ในด้านหนึ่ง ธุรกิจที่มีกำลังการผลิตคุณภาพสูงสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ อันนำไปสู่ค่าจ้างที่สูงขึ้นสำหรับแรงงานที่มีทักษะสูง 

แต่ในทางกลับกัน แรงงานที่ไร้ทักษะหรือมีทักษะน้อยอาจต้องเผชิญกับค่าจ้างที่คงที่หรือลดลง หรือแม้กระทั่งการยกเลิกการจ้างงานหากไม่สามารถปรับตัวเข้ากับงานที่ท้าทายมากขึ้นได้ดีพอ

ประการสุดท้าย การจ้างงานแบบยืดหยุ่น แพลตฟอร์มดิจิตัลและระบบอัตโนมัติช่วยเพิ่มโอกาสในการทำงานแบบกิ๊ก (Gig) ฟรีแลนซ์ (Freelance) และแบบระยะไกล (Long Distance) ซึ่งอาจมีอิสระและระดับความยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ก็อาจมีความมั่นคงในหน้าที่การงานที่ลดลง

ในกรณีของจีน ผลจากการดำเนินนโยบาย “Internet Plus” นับแต่ปี 2015 ทำให้เศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing Economy) และการค้าออนไลน์ (E-Commerce) เติบใหญ่ ยิ่งผสมโรงเข้ากับสภาพแวดล้อมในยุคหลังโควิดที่มาพร้อมกับ “แพลตฟอร์มดิจิตัล” (Digital Platform) อาทิ Didi, Meituan และ Ele.me ก็ทำให้การจ้างงานแบบยืดหยุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานกิ๊ก (Gig Labor) พัฒนาสู่รูปแบบใหม่และขยายตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง

มีคนประเมินว่า ปัจจุบัน จีนมีแรงงานกิ๊กอยู่มากกว่า 200 ล้านคน คิดเป็นราว 25% ของการจ้างงานโดยรวม และคาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนเป็นถึง 40% ของทั้งหมดภายในปี 2035 หรือราว 10 ปีข้างหน้า!!!

เราคุยในประเด็นอื่นกันต่อตอนหน้า ...

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง