ผู้ว่าฯ กทม. ระบุ สถานการณ์แผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ คลี่คลายเกือบ 100%

วันนี้ (31 มี.ค. 68) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงข่าวความคืบหน้าสถานการณ์แผ่นดินไหว ประจำวันที่ 31 มี.ค.68 ณ ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์กรุงเทพมหานคร ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) เขตพระนคร
นายชัชชาติ กล่าวว่า ความคืบหน้าสถานการณ์วันนี้ แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ 1.สถานการณ์โดยทั่วไปในพื้นที่กรุงเทพฯ และ 2.สถานการณ์ ณ จุดเกิดเหตุอาคารถล่ม เขตจตุจักร โดยในเบื้องต้น ส่วนใหญ่ภาพรวมในกรุงเทพฯ คลี่คลายเกือบ 100% การจราจรเปิดหมดทุกเส้นทาง รถไฟสายสีเหลือง สีชมพู ทุกเส้นเปิดหมดแล้ว ทางด่วนดินแดง ทั้งขาเข้า-ขาออก ก็เปิดแล้วเช่นกัน แต่ยังมีติดขัดอยู่ที่ถนนกำแพงเพชร 2 บริเวณหน้าตึกจุดเกิดเหตุอาคารถล่ม เขตจตุจักร และจุดที่มีการรื้อถอนเครนที่บางโพ เขตบางซื่อ ซึ่งถือเป็นส่วนน้อย การจราจรกลับคืนสู่สภาพปกติ
นายชัชชาติ กล่าวต่อไปว่า การตรวจสอบอาคาร ได้รับแจ้งจากประชาชนเข้ามา 13,000 กว่าราย แต่ 13,000 เรื่องนี้ ไม่ใช่ตัวเลขจำนวนอาคาร เนื่องจากหลายอาคารมีผู้แจ้งเข้ามาซ้ำซ้อนกัน บางเคสเป็นแค่รอยร้าวผนังซึ่งผู้เชี่ยวชาญที่วิเคราะห์สามารถให้ความเห็นได้ว่าต้องเข้าไปตรวจสอบหรือไม่ หลักการคือลำดับความสำคัญ ตรวจสอบเคสที่รุนแรงก่อน เคสระดับกลางเมื่อคลี่คลายแล้วจะลงไปดูให้อีกครั้ง เพราะเราไม่สามารถไปตรวจทั้งหมื่นเคสได้
ทั้งนี้ ได้เข้าไปตรวจสอบแล้ว พบอาคารไม่อนุญาตให้ผู้อาศัยเข้าไปอยู่ได้ จำนวน 2 อาคาร มีผู้ได้รับผลกระทบประมาณ 2,000 คน เราจึงได้จัดที่พักชั่วคราวให้ มีผู้เข้ามาขอรับความช่วยเหลือ 172 คน โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนในการจัดหาที่พักให้ ทั้งนี้ ส่วนที่เป็นอาคารราชการจะดำเนินการโดยกรมโยธาธิการและผังเมือง หากประชาชนยังไม่มั่นใจในเรื่องอาคารสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ สามารถแจ้งเข้ามาทาง Traffy Fondue ได้ ตลอด 24 ชม.
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวต่อด้วยว่า เรื่องการช่วยเหลือเยียวยาจะมีมาตรการออกมา ขณะนี้ทางกรมป้องกันและบรรเทาธารณภัย (ปภ.) กำลังดำเนินการสรุปรายละเอียดว่าจะมีการเยียวยาอย่างไร และด้านญาติของผู้ประสบภัยที่มารอ กทม. ได้จัดเต็นท์ อาหารน้ำ จุดลงทะเบียนเพื่อยืนยันตัวตน และมีล่ามชาวเมียนมาพร้อมอำนวยความสะดวก มีภาคเอกชนมาช่วย ซึ่งกทม.ดูแลเขาเหมือนญาติ โดยมีสำนักงานเขตจตุจักรคอยดูพื้นที่นอกอาคารถล่ม ส่วนที่เกิดเหตุเป็นหน้าที่ของผู้อำนวยการเหตุการณ์คอยบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ เน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ โดยภาพรวมเชื่อว่าสถานการณ์ของกรุงเทพมหานครกลับคือสู่ปกติเกือบทั้งหมดแล้ว
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวอีกว่า ในส่วนอาคาร สตง. ถล่ม เขตจตุจักร วันนี้จะครบ 72 ชม. ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาวิกฤติในการค้นหาผู้รอดชีวิต ได้สั่งการให้เดินหน้าต่อ จากการประชุมร่วมกับผู้เชี่ยวชาญนานาชาติที่เข้ามาช่วย เชื่อว่ายังมีโอกาสที่จะพบผู้รอดชีวิต และเรามีการปรับยุทธวิธีตลอด เข้าใจว่าจากหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมาในโลกนี้ เช่น เหตุการณ์ที่ตุรกี ผ่านไปเป็นอาทิตย์ก็ยังมีคนรอด ตนเชื่อว่าเรายังไม่หมดหวัง แม้จะกี่ชีวิตหรือชีวิตเดียวก็มีค่าในการพยายามต่อ โดยการดำเนินการหน้างานจะเน้นการตรวจสอบอาคารที่โซน B และ โซน C ซึ่งเป็นโซนของปล่องลิฟท์และบันไดหนีไฟ เพราะจากการสอบถามผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่จะวิ่งลงบันไดหนีไฟ ในส่วนที่มีผู้ตั้งคำถามถึงการทำงานล่าช้านั้นเนื่องจากการทำงานเป็นเรื่องละเอียดอ่อนจึงต้องคำนึงถึงความปลอดภัยผู้ที่รอดชีวิตและผู้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่เป็นสำคัญ ต้องทำงานอย่างระมัดระวังเป็นไปตามมาตรฐานสากล ย้ำว่าขณะนี้เราเร่งดำเนินการ หน้างานอุปกรณ์พร้อม เจ้าหน้าที่พร้อม และขณะนี้ยังไม่ได้มีการเรียกขออุปกรณ์อะไรเพิ่มเติม
ทั้งนี้ เนื่องจากมีฝนตกอาจปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ คือ จะมีฝุ่นเศษปูนชิ้นเล็ก ๆ และเป็นผงอยู่เยอะ หากฝนตกหนักอาจเกิดการสะสมและแข็งตัวเป็นก้อนหนักขึ้น แต่ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวไม่ได้เป็นปัญหาหลัก
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวอีกว่า ความยากและข้อจำกัดในการเข้าพื้นที่ในการกู้ชีพ คือ ขั้นแรกคือการกำหนดจุดของผู้ที่รอดชีวิตต้องใช้เครื่องสแกน ถ้าเป็นบนพื้นราบในช่วง 2 วันแรก สามารถนำสุนัข K9 เข้าไปยืนยันได้ แต่เมื่อเป็นด้านบนซากอาคาร สุนัข K9 จะขึ้นไปยืนยันได้ยาก วิธีการคือต้องนำคนขึ้นกระเช้าเครน 8 คน ปฏิบัติในงานได้ครั้งละ 20 นาที เพราะเหนื่อย อุปสรรคอีกอย่างคือการรื้อโครงสร้างต่าง ๆ
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวในตอนท้ายว่า ย้ำว่าพื้นที่ตึกถล่มห้ามเข้าเด็ดขาดตามกฎหมาย ได้สั่งการให้มีการล้อมพื้นที่โดยตอนนี้มีทางทหารควบคุมการเข้า-ออกอยู่ การนำวัสดุต่าง ๆ ในพื้นที่ไปตรวจสอบเป็นหน้าที่ของทางภาครัฐ ซึ่งต้องลงทะเบียนให้ชัดเจนเพราะเป็นทรัพย์สินของทาง สตง. สำหรับซากปรักหักพังจำนวนมากราว 5 หมื่น ลบ.ม. ก็ได้เตรียมพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทยไว้รองรับ
“การช่วยชีวิตถึงแม้ได้หนึ่งชีวิตก็คุ้มกับความพยายามทุกอย่าง ได้ย้ำกับทีมงานว่า ไม่ว่าหนึ่งชีวิต หรือสิบชีวิต ถ้าช่วยได้ก็คุ้มค่ากับทุกนาที คุ้มค่ากับความพยายามของทุกคน ขอให้เดินหน้าทำให้เต็มที่ ทีมงานทุกคนก็มีขวัญและกำลังใจในการทำงาน”