รีเซต

NER โชว์กำไรปี 64 ที่ 1,850 ลบ. โต 115% ตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 2.8 หมื่นลบ.

NER โชว์กำไรปี 64 ที่ 1,850 ลบ. โต 115% ตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 2.8 หมื่นลบ.
ทันหุ้น
21 กุมภาพันธ์ 2565 ( 09:42 )
419
NER โชว์กำไรปี 64 ที่ 1,850 ลบ. โต 115% ตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 2.8 หมื่นลบ.

#NER #ทันหุ้น-บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ในปี 2564 มีกำไร 1,850.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 115.47% จากปี 2563 ที่มีกำไร 858.68 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการขายรวมอยู่ที่ 24,425.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.39% เกิดจากบริษัทมีการขยายกำลังการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น และได้รับคำสั่งซื้อของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างปะรเทศ โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นเกิดจากปัจจัยด้านปริมาณขายและราคาขายที่ขยับตัวสูงขึ้น โดยแบ่งเป็นผลต่างเพิ่มขึ้นด้านปริมาณอยู่ที่ 4,267.49 ล้านบาท และผลต่างด้านราคาที่ขยับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 3,808.39 ล้านบาท ส่วนปริมาณการขายในปี 2564 อยู่ที่ 452,476 ตัน เพิ่มขึ้น 93,656 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 26.10% 

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆและกลุ่มผู้ค้าคนกลางทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผยว่ามติคณะกรรมการบริษัทฯอนุมัติการจ่ายเงินงวดดำเนินงาน วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2564 โดยจ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.36 บาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 19 เมษายน 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 คิดเป็นเงิน 633.83 ล้านบาท

 

ด้านภาพรวมผลการดำเนินงาน ปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ว่า บริษัทฯ มียอดขายสินค้ารวม 24,425.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,075.88 ล้านบาทหรือ 49.39% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 และมีกำไรสุทธิรวม 1,850.19 ล้านบาทเพิ่มขึ้น  991.51 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 115.47% ซึ่งคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 7.57% เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่เท่ากับ 5.25%

 

โดยผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น เกิดจากบริษัทมีการขยายกำลังการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น และได้รับคำสั่งซื้อของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นเกิดจากปัจจัยด้านปริมาณขายและราคาขายเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติของบริษัทที่ขยับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้บริษัทมีสัดส่วนต้นทุนวัตถุดิบลดลงเมื่อเทียบกับปี 2563 โดยปัจจัยหลักเกิดจากการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้มีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 10.56% เป็น 13.25%  

 

สัดส่วนรายได้จากการขาย แบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 15,182.94 ล้านบาท หรือคิดเป็น 62.16% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 4,595.28 ล้านบาทหรือ 43.40%  รายได้จากการขายต่างประเทศ 9,242.72 ล้านบาท หรือคิดเป็น 37.84% ของยอดขายรวมเพิ่มขึ้น 3,480.60 ล้านบาทหรือ 60.40%  

 

**ปี 65 ตั้งเป้ารายได้ที่ 2.8 หมื่นลบ. 

 

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานปี  2565  บริษัทตั้งเป้ารายได้ 28,000 ล้านบาท ส่วนปริมาณการขายคาดว่าจะสามารถทำยอดขายยางพาราอยู่ที่ 500,000 ตัน จากกำลังการผลิตทั้งหมด 510,000 ตัน โดยสัดส่วนของยอดขายในปี 2565 บริษัทยังวางนโยบายการจำหน่ายสินค้าในประเทศและต่างประเทศเป็น 65:35 เพื่อหลีกเลี่ยงอัตราค่าระวางเรือที่ปรับเปลี่ยนในทิศทางที่สูงขึ้น โดยมองว่าความต้องการใช้ยางพาราในอุตสาหกรรมยังดีต่อเนื่อง หากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ก็จะทำให้มีการคมนาคมมากขึ้น ส่งผลดีต่อความต้องการใช้ยางรถยนต์เพิ่มมากขึ้น 

 

โดยมีรายงานจาก กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน ระบุว่า ยอดผลิตและจำหน่ายยานยนต์พลังงานใหม่ขยายตัวถึง 160% เมื่อเทียบปีต่อปี และมีการส่งเสริมและผลักดันให้ประชาชนเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ด้วยการเร่งการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ สถานีชาร์จ เสาชาร์จ และ สถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่รองรับ ที่มีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการให้ได้ 20 ล้านคันในปี 2025   โดยจีนจะจัดตั้งสถานีชาร์จในทุกอำเภอและติดตั้งเสาชาร์จในทุกหมู่บ้าน เพื่อให้ประชาชนใช้รถยนต์พลังงานสะอาดอย่างจริงจัง 

 

ด้านแผนงานธุรกิจปลายน้ำ ผลิตภัณฑ์แผ่นปูรองปศุสัตว์  ภายใต้แบรนด์ cattleFlex  ตั้งเป้าปริมาณการขายภายในปีแรกที่ 250,000 แผ่น คิดเป็นรายได้ประมาณ 500 ล้านบาท  ปัจจุบันบริษัทกำลังเร่งดำเนินการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในประเทศต่างๆ (distributor) ซึ่งในเฟสแรกมีทั้งหมด 13 ประเทศ โดยผลิตภัณฑ์แบ่งเป็น 4 รุ่น ได้แก่  รุ่น Pro พรีเมียมระดับมาตรฐานยุโรป รุ่น Tuf ทนทานในราคาที่จับต้องได้ รุ่น Calf  พิเศษสำหรับลูกวัว และรุ่น Move สำหรับทางเดินในฟาร์มปศุสัตว์ พร้อมกันนี้ได้เตรียมเปิดตัว cattleFlex Winner รุ่นพิเศษ สำหรับการดูแลม้า ในเร็วๆนี้ด้วย

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง