TMI กดปุ่มขายคาร์บอน ไฮซีซันหนุนยอด Q3 พีค

นายธีระชัย  ประสิทธิ์รัตนพร  ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ธีระมงคล อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ TMI เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/2566 ที่ออกมาแม้กำไรจะเติบโต 65% แต่ยังเป็นผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาด เพราะไตรมาส 2/2566 เป็นโลว์ซีซัน ทั้งธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ส่องสว่าง และธุรกิจพลังงาน แต่คาดทิศทางธุรกิจทั้ง 2 ประเภทจะดีขึ้นในไตรมาส 3/2566 เพราะเป็นไฮซีซันธุรกิจ

** บริหารต้นทุน

สำหรับธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ส่องสว่างไตรมาส 3/2566 จะดีขึ้นจากไตรมาส 2/2566  เพราะเป็นซีซันธุรกิจ ประกอบกับบริษัทบริหารจัดการต้นทุนการผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ส่องสว่างได้ดี ทำให้ทิศทางธุรกิจดังกล่าวมีอัตรากำไร (มาร์จิ้น) ดีขึ้นอย่างชัดเจน
ขณะที่ธุรกิจพลังงาน บริษัทสามารถเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ครบ 3 แห่ง กำลังผลิตรวม 5.4 เมกะวัตต์ ประกอบไปด้วย โรงไฟฟ้าชีวภาพ อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร กำลังผลิต 1 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าชีวภาพ จังหวัดชุมพร กำลังผลิต 1.4 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าชีวภาพ จังหวัดสุพรรณบุรี กำลังผลิต 3 เมกะวัตต์ ดังนั้นบริษัทจึงมองภาพธุรกิจและผลประกอบการครึ่งปีหลัง 2566 จะดีกว่าครึ่งปีแรก
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โดยยังอยู่ระหว่างพิจารณาโครงการโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ 1 โครงการ บริษัทต้องการจะลงทุนโครงการขนาด 3-5 เมกะวัตต์

** จับตาธุรกิจใหม่

นายธีระชัย กล่าวต่อว่า สิ่งที่เป็นตัวแปรสำคัญต่อ TMI ต่อจากนี้คือธุรกิจขายคาร์บอนเครดิต จากการทำรายละเอียดโรงไฟฟ้าแห่งที่ 3 ซึ่งเป็นโรงแรกที่มีรายได้จากคาร์บอนเครดิต มีปริมาณคาร์บอนอยู่ที่ 9.2 หมื่นคาร์บอน และพร้อมเดินหน้าธุรกิจดังกล่าว อีกทั้งกฎหมายและการควบคุมการใช้คาร์บอนเครดิตจะเริ่มขึ้นในเดือนตุลาคม ทำให้เห็นภาพธุรกิจชัดเจนตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดเพื่อดูการขายคาร์บอนเครดิตในโรงไฟฟ้าแห่งที่ 2
ทั้งนี้บริษัทมีความพร้อมที่จะต่อยอดธุรกิจไฟฟ้าไปสู่ธุรกิจขายคาร์บอน ซึ่งบริษัทมีพาร์ตเนอร์ยุโรป หลังร่วมมือด้านธุรกิจไฟฟ้าและต่อยอดธุรกิจต่อไปในอนาคต หากเป็นไปตามแผนคาดรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตจะหนุนรายได้ในกลุ่มของ TMI ให้เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง

อนึ่ง ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2566 บริษัทมีรายได้ 147.70ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.09% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 135.39 ล้านบาท โดยเป็นรายได้รวมที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากรายได้จากการขายไฟฟ้ารวมเพิ่มขึ้น 113.96%ส่งผลให้ยอดขายโดยรวมเติบโต โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าแห่งใหม่จังหวัดสุพรรณบุรี ที่มีรายได้จากการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นหลังจากเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2565 ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 11.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.06%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7.14 ล้านบาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก บริษัทมีกำไรสุทธิ 26.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73.82% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 15.43 ล้านบาท หลังรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าเข้ามาสนับสนุน สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ