ทำความรู้จัก "Flying Tiger" ค้าปลีกดังสัญชาติเดนมาร์ก บุกไทย

Flying Tiger Copenhagen เป็นแบรนด์ร้านค้าปลีกสัญชาติเดนมาร์ก ที่ดำเนินธุรกิจมาครบ 30 ปี ในปีนี้ เริ่มต้นจากแผงขายของ สู่แบรนด์ค้าปลีกระดับโลก โดยมีจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ มาจาก แผงขายของเบ็ดเตล็ด วางขายร่ม แว่นกันแดด และถุงเท้า ที่ตลาดนัดแห่งหนึ่งในประเทศเดนมาร์ก โดยคู่สามีภรรยาที่เป็นช่างภาพ และดีไซเนอร์
โดยปี 1995 ทั้งคู่ ได้เริ่มธุรกิจอย่างจริงจังด้วยการเปิดร้านค้าจิปาถะสาขาแรก ในเมืองโคเปนเฮเกน ด้วยเป้าหมาย ที่ไม่ใช่แค่การขายสินค้าเท่านั้น แต่ต้องการมอบประสบการณ์การออกแบบสินค้า ในราคาที่เข้าถึงได้ ด้วยคอนเซปต์ สินค้าทุกชิ้น ราคา 10 โครนเดนมาร์ก (หรือประมาณ ชิ้นละ 50 บาท)
จากนั้นในปี 2001 ก็ได้เริ่มขยายสาขาออกไปนอกประเทศเป็นครั้งแรก เริ่มที่เมือง Basingstoke ในสหราชอาณาจักร และขยายสาขาในยุโรปเพิ่มขึ้นอีกหลายประเทศ
ส่วนจุดเริ่มต้นของการขยายธุรกิจออกไปในระดับนานาชาติ หรือระดับโลกเกิดขึ้นในปี 2012 เริ่มที่ประเทศญี่ปุ่น และปี 2022 ได้เข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ มากขึ้น ทั้งเอเชีย และตะวันออกกลาง ล่าสุดเดินหน้าเข้าตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ใน 3 ประเทศคือที่ สิงคโปร์ มาเลเซีย และ ไทย ทำให้ปัจจุบัน Flying Tiger มีเครือข่ายค้าปลีกครอบคลุม 41 ประเทศทั่วโลก ด้วยจำนวนสาขาที่มีมากกว่า 1,000 แห่ง
สำหรับตลาดในประเทศไทย คุณ Martin Jermiin ซีอีโอ Flying Tiger Copenhagen กล่าวว่า ตลาดไทยมีความน่าสนใจด้วยขนาดของตลาดที่มีดีมานด์สูง ซึ่งบริษัทฯ มองหาโอกาส การรุกเข้ามาในไทยหลายปีแล้ว แต่เพิ่งได้พันธมิตรที่ทำให้มั่นใจได้ว่าจะร่วมมือกันในระยะยาว คือ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ที่เป็นผู้ได้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ในไทยเพียงรายเดียว อีกทั้ง คาดหวังที่จะผลักดันให้ตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตลาดขนาดใหญ่และมีสาขามากที่สุดในอนาคต
ปัจจุบันบริษัทฯ มีนักออกแบบ มากกว่า 100 คน ออกแบบสินค้าต่าง ๆ ที่มีลักษณะเฉพาะในแบบของเดนมาร์ก แต่เหมาะสำหรับลูกค้าทั่วโลก และตอบโจทย์ทุกช่วงวัยด้วยหลักการของความยั่งยืน โดย มีเป้าหมายลดการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติก ร้อยละ 50 และลดการใช้ผลิตภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ร้อยละ 50 เป็นต้น ส่วนแหล่งผลิตนั้น มาจากหลายแห่งทั่วโลก แต่ส่วนใหญ่อยู่ในเอเชียและจีน
ด้านตลาดร้านค้าปลีกกลุ่มของขวัญและสินค้าไลฟ์สไตล์ในประเทศ มีอัตราการเติบโตดีต่อเนื่อง โดยคุณ กฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ บอกว่า ปี 2567 ตลาดมีมูลค่าอยู่ที่ 30,300 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 7 ซึ่งสวนทางกับกำลังซื้อโดยรวมที่ชะลอตัวและยังเติบโตสูงกว่าภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ
และแม้จะมีหลายแบรนด์จากทั้งในและต่างประเทศอยู่แล้ว แต่เชื่อว่าตลาดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก และมีช่องว่างทางการตลาด ที่จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้
นอกจากนี้ จากอินไซต์ผู้บริโภค พบว่า กลุ่ม มิลเลนเนียลส์ และ เจน Z จะชื่นชอบและให้คุณค่ากับสินค้าไลฟ์สไตล์ที่มีความสนุกสนาน แปลกใหม่ เน้นดีไซน์ที่สร้างประสบการณ์แตกต่าง ซึ่งจากผลสำรวจแนวโน้มการเลือกช้อป พบว่า ร้อยละ 70 ของคนในวัยดังกล่าว เข้าร้านเพื่อมองหาสิ่งใหม่ ๆ และสิ่งที่คาดไม่ถึง
ส่วนกลุ่มวัยทำงาน อายุระหว่าง 25-35 ปี เน้นเลือกของแต่งบ้าน, ของขวัญ, และของใช้ไลฟ์สไตล์อื่นๆ จะใช้จ่ายเฉลี่ย 400-700 บาทต่อครั้ง
กลุ่มครอบครัวมีเด็ก อายุระหว่าง 30-45 ปี เน้นของเล่น, ของใช้สำหรับจัดปาร์ตี้, และของตกแต่งตามเทศกาล ใช้จ่ายเฉลี่ย 500-1,000 บาทต่อครั้ง ขณะที่ปัจจัยในการตัดสินใจซื้อสินค้าในชีวิตประจำวัน เพื่อเติมเต็มให้ชีวิต เพื่อให้ทุกวันมีความหมายมากขึ้น
ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ ร้าน Flying Tiger และเชื่อว่าจะเข้ากับวัฒนธรรมไทยได้อย่างลงตัว โดยจะมีสินค้ามากกว่า 1,700 เอสเคยู จาก 14 กลุ่มสินค้า เช่น กลุ่ม แกดเจ็ต ของใช้ในบ้าน และเครื่องครัว ไอเทมสำหรับงานอดิเรก กิจการยามว่าง เครื่องเขียน ของเด็กเล่น และอุปกรณ์สำหรับจัดงานเลี้ยง และปาร์ตี้ เป็นต้น
ปัจจุบันเปิด Flying Tiger ในไทยแล้ว 2 สาขา ซึ่งสาขาแรกอยู่ที่ ศูนย์การค้า เอ็มสเฟียร์ และสาขาที่ 2 เป็นสาขา ช็อป อิน ช็อป อยู่ที่อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ พัทยา และ เดือนหน้าจนถึงสิ้นปี จะเปิดอีก 4 สาขา
โดยมีแผนจะใช้งบลงทุน 200 ล้านบาท ในระยะ 3 ปี เปิดสาขาในไทย รวม 30 สาขาทั่วประเทศ และจะเน้นไปที่ศูนย์การค้าชั้นนำ และมีเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 800 ล้านบาทภายใน 3 ปีเช่นกัน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
