รีเซต

“สหรัฐอเมริกา” ใช้เงินไปกับ “สงคราม” เท่าไหร่ ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1

“สหรัฐอเมริกา” ใช้เงินไปกับ “สงคราม” เท่าไหร่ ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1
TNN ช่อง16
24 มิถุนายน 2568 ( 10:40 )
9

คุณทราบมั้ยครับว่าสหรัฐอเมริกาใช้เงินไปกับสงครามแล้วเท่าไหร่ ตั้งแต่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้วเงินจำนวนมากมายมหาศาลนั้น ถ้าถูกเอาไปใช้ประโยชน์ หรือพัฒนาในด้านอื่น ๆ จะสามารถทำอะไรได้บ้าง วันนี้จะพาทุกคนย้อนเวลาไปหาคำตอบกัน

เมื่อพูดถึง “สงคราม” ในประวัติศาสตร์โลกที่มีการบันทึกกันมา ก็มีความขัดแย้งเกิดขึ้นในหลายประเทศ หลายภูมิภาค จนเกิดเป็นสงครามมากมายที่ต่อสู้กันตั้งแต่เพื่ออุดมการณ์ ความเชื่อ อำนาจ และผลประโยชน์ จนนับครั้งไม่ถ้วน และในหลาย ๆ ครั้ง โดยเฉพาะนับตั้งแต่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงในปัจจุบัน ชื่อแรก ๆ ของประเทศที่มักจะมีความเกี่ยวข้องนั่นก็คือ “สหรัฐอเมริกา” 

สหรัฐฯได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือเข้าไปมีส่วนร่วมในสงครามมากมาย ด้วยบทบาทที่แต่งต่างกันไป ทั้งทางตรง และทางอ้อม ซึ่งมีการรวบรวมตัวเลขในการใช้งบประมาณในด้านการสงครามของสหรัฐฯตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงปัจจุบันของ “สถาบันวิจัยของสภาคองเกรสสหรัฐฯ” หรือ Congressional Research Service ที่รายงานว่ามีการใช้งบประมาณมูลค่าสูงถึง 11.22 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯเลยทีเดียว ซึ่งตัวเลขเงินทั้งหมดที่จะกล่าวหลังจากนี้เป็นมูลค่าเงินที่ปรับให้เป็นมูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2024 เรียบร้อยแล้วนะครับ

โดยถ้าเราจะแยกสมรภูมิที่สำคัญ ๆ ที่สหรัฐเข้าไปมีบทบาทก็จะเริ่มตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เริ่มต้นในปี 1914 สหรัฐฯมีการใช้งบประมาณทางด้านการทหารไปทั้งหมดราว 446,900 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสหรัฐฯเอง ในเวลานั้นเศรษฐกิจก็อยู่ในภาวะถดถอย อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และเฟื่องฟูหลังจากที่ความต้องการสินค้าของสหรัฐฯ ในยุโรปเพิ่มขึ้นในช่วงสงคราม

แต่สถานการณ์ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อสหรัฐฯ เข้าร่วมสงครามในปี 1917 ส่งผลให้การใช้จ่ายของรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้นอย่างมาก เกิดการว่างงานมากขึ้น ชายหนุ่มจำนวนมากถูกเกณฑ์เข้ากองทัพ รัฐบาลต้องจัดหาเงินทุนด้วยการเพิ่มภาษี และขายพันธบัตรให้กับชาวอเมริกัน และถึงแม้ว่า เมื่อเข้าสู่ช่วงทศวรรษ 1920 หนี้สาธารณะของสหรัฐฯจะลดลง รัฐบาลมีงบประมาณที่เกินดุล และผลตอบแทนจากตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น และสหรัฐฯกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกหลังจากนั้น แต่เศรษฐกิจก็ราบรื่นอยู่ได้ไม่นานก็เริ่มตกต่ำลงอีกครั้งปี 1929 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และกลายเป็นชนวนของ “สงครามโลกครั้งที่ 2”

ซึ่งในสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้ สหรัฐฯใช้จ่ายเงินไปราว 5.74 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นการใช้จ่ายด้านสงครามสูงสุดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยการใช้จ่ายในสงครามโลกครั้งที่ 2 คิดเป็น 35.8% ของ GDP รัฐบาลหาเงินสนับสนุนโดยการขึ้นภาษี ซึ่งแม้แต่ผู้ที่ยากจนก็โดนเก็บภาษีในอัตราที่สูง และการก่อหนี้ ซึ่งหนี้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 258,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และหลังจากนั้นแค่ 5 ปี ฝุ่นควันสงครามยังไม่ทันจากหาย ซากปรักหักพังยังคงอยู่ แต่สหรัฐฯก็เลือกที่จะเข้าสู่สงครามอีกครั้งใน “สงครามเกาหลี”

สหรัฐฯ ใช้จ่ายเงินไปประมาณ 476,690 ล้านดอลลาร์สำหรับสงครามเกาหลีที่เกิดขึ้นในปี 1950 โดยสหรัฐฯ จัดหาเงินทุนด้านสงครามด้วยการเพิ่มอัตราภาษีให้สูงขึ้นเท่ากับระดับสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งภาษีบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ซึ่งในสงครามเกาหลี สหรัฐฯเกิดความปั่นป่วนทางการเงิน เนื่องจากรัฐบาลต้องดำเนินการควบคุมราคา และค่าจ้าง เงินเฟ้อสูงขึ้นจากการใช้จ่ายของรัฐบาล การบริโภค และการลงทุน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อ GDP ชะลอตัวลงอย่างมาก และถึงแม้ว่าสงครามสิ้นสุดลงในปี 1953 GDP ของสหรัฐฯก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะสามารถกลับมาเติบโตได้ในระดับก่อนสงคราม

หลังจากนั้นสหรัฐฯว่างเว้นจากสงครามไปได้เกือบ 10 ปี ก็เข้าสู่สงครามอีกครั้งใน “สงครามเวียดนาม” ที่เริ่มต้นในปี 1962 ซึ่งสหรัฐฯใช้เงินไปประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ ยังคงจัดหาเงินทุนด้วยการเพิ่มภาษี และดำเนินนโยบายการเงินแบบขยายตัวซึ่งนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อสูงในช่วงกลางทศวรรษ 1970 การใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทหารก็สูงมากแตกต่างจากสงครามครั้งก่อน ๆ ที่ผ่านมา ซึ่งสงครามที่กินเวลายาวนานกว่า 11 ปี ก็ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างยาวนาน โดยกระตุ้นเงินเฟ้อให้สูงขึ้น และเศรษฐกิจซบเซา จนในที่สุดก็กลายเป็นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ 

และก็มาถึงสงครามที่ยืดเยื้อ ยาวนาน ที่มีต้นกำเนิดมาจากเหตุการณ์สะเทือนโลกที่ไม่มีใครลืมอย่าง 9-11 ที่เป็นการประกาศสงครามก่อการร้ายกับสหรัฐฯ ซึ่งแน่นอนว่าสหรัฐฯ ดำเนินการตอบโต้ และประกาศสงครามกับการก่อการร้ายอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน

สหรัฐฯ ใช้จ่ายเงินราว 3.68 ล้านล้านดอลลาร์ สำหรับสงครามในอัฟกานิสถาน และอิรักตลอดระยะเวลาสองทศวรรษ สงครามอัฟกานิสถาน และอิรักเริ่มต้นขึ้นในสภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแอเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยตั้งแต่ปี 2001 ถึง 2002 หลังจากที่ยุค “ฟองสบู่ดอตคอมแตก” โดยสงครามนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่สหรัฐฯมีการลดภาษีระหว่างสงคราม และใช้นโยบายการเงินแบบขยายตัว และลดกฎระเบียบของธนาคารเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

แต่นโยบายดังกล่าวไม่ยั่งยืนสำหรับการเงินของสหรัฐฯ โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปี 2006 และ 2007 เพื่อช่วยควบคุมฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ก่อนที่จะเกิด “วิกฤตซับไพรม์” ในปี 2008 สงครามอิรักสิ้นสุดลงในปี 2011 ภายใต้การนำของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ในขณะที่สงครามอัฟกานิสถานสิ้นสุดลงในปี 2021 ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน

ตัวเลขมากกว่า 11 ล้านล้านดอลลาร์ที่ใช้ในการทำสงครามของสหรัฐฯ คิดเป็นถึงเกือบ 1 ใน 3 ของหนี้สาธารณะทั้งหมดที่สหรัฐฯมีอยู่ 36 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และสามารถนำมากำหนดงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้กับสหรัฐฯได้กว่า 2 ปีครึ่ง เมื่อเทียบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2025 ที่ 4.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และยังสามารถนำไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ทั้งในด้านสาธารณสุข การศึกษา นวัตกรรม ได้อย่างมหาศาล

แต่เราทุกคนทราบกันดีครับว่าตัวเลขค่าใช้จ่ายในสงครามกว่า 11 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คงไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ และที่สำคัญสิ่งที่สูญเสียมากกว่ามูลค่าของเงินนั่นคือชีวิต โอกาส และความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ และปัจจุบันนี้ ความขัดแย้ง สงครามก็ยังคงดำเนินต่อไป ที่เปลี่ยนไปคือคู่ขัดแย้ง และเหตุผลในการโจมตีระหว่างกันเพียงเท่านั้น และสหรัฐอเมริกาก็ยังคงมีโอกาสที่จะเข้าสู่สงครามอีกครั้งง ซึ่งคงไม่มีใครตอบได้ว่า “กระสุนนัดสุดท้าย” จะจบลงเมื่อไหร่

ข่าวที่เกี่ยวข้อง