เด็กที่ใช้สมาร์ทโฟนก่อน 12 ปี แนวโน้มมีปัญหาสุขภาพมีมากกว่า

งานวิจัยใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Pediatrics ระบุว่า เด็กที่มีสมาร์ทโฟนก่อนอายุ 12 ปี มีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการนอนหลับไม่พอ น้ำหนักเกิน และภาวะซึมเศร้า

นักวิจัยยังพบอีกว่า ยิ่งเด็กใช้สมาร์ทโฟนตั้งแต่อายุน้อยเร็วเท่าไหร่ ความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาเหล่านี้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

ดร.แรน บาร์ซิลาย ผู้เขียนหลักของงานวิจัยและจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นจากโรงพยาบาลเด็กฟิลาเดลเฟีย กล่าวว่าผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากแนะนำผู้ปกครองไม่ให้อนุญาตให้ลูกหลานมีสมาร์ทโฟนเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย และควรขยายช่วงอายุของการครอบครองสมาร์ทโฟนออกไป จนกว่าจะโตเพียงพอ หรือถึงเวลาที่เหมาะสม 

จุดเริ่มต้นของการศึกษาชิ้นนี้ มาจากที่นักวิจัยตั้งคำถามว่า หากผู้ปกครอง ไม่เลื่อนเวลาให้เด็กเริ่มใช้สมาร์ทโฟนออก จะส่งผลกระทบทางลบต่อสุขภาพของเด็กหรือไม่

งานวิจัยนี้ทำโดยทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ และมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย โดยใช้ข้อมูลจากผู้เข้าร่วมกว่า 10,500 คนในโครงการ Adolescent Brain Cognitive Development Study ซึ่งติดตามพัฒนาการสมองของเด็กตลอดช่วงวัยรุ่น

ทีมวิจัยวิเคราะห์ข้อมูลเด็กอายุระหว่าง 9 ถึง 16 ปี ที่เก็บตั้งแต่ปี 2016 ถึง 2022 เพื่อดูว่าการมีสมาร์ทโฟน รวมถึงอายุที่เด็กได้รับสมาร์ทโฟนเครื่องแรก ส่งผลต่อสุขภาพของพวกเขาอย่างไร

ผลปรากฏว่า เด็กอายุ 12 ปีที่มีสมาร์ทโฟน มีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้น 1.3 เท่า มีความเสี่ยงเป็นโรคอ้วนมากขึ้น 1.4 เท่า และมีความเสี่ยงนอนหลับไม่เพียงพอมากขึ้น 1.6 เท่า เมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกันที่ยังไม่มีโทรศัพท์

นอกจากนี้ ยิ่งเด็กได้รับสมาร์ทโฟนเร็วเท่าไร ความเสี่ยงของปัญหาเหล่านี้ก็เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 10% โดยเริ่มนับตั้งแต่อายุเพียง 4 ขวบ เมื่อเทียบกับเด็กที่ได้รับสมาร์ทโฟนช้ากว่านั้นหรือไม่ได้รับเลย

ผลวิจัยยังพบว่า เด็กอายุ 13 ปีที่ตอนอายุ 12 ยังไม่มีสมาร์ทโฟน แต่เพิ่งได้รับในปีที่ผ่านมา มีสุขภาพจิตแย่ลงและนอนหลับไม่ดีมากขึ้นด้วย แม้ว่านักวิจัยจะควบคุมปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วก็ตาม

แม้ว่างานวิจัยจะชี้ถึงเพียง “ความสัมพันธ์” ไม่ใช่ “สาเหตุโดยตรง” แต่ผลลัพธ์ก็สอดคล้องกับหลักฐานที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ว่าการใช้สมาร์ทโฟนในเด็กอาจเชื่อมโยงกับผลลบต่อสุขภาพ

ขณะเดียวกัน สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน เน้นย้ำว่า ไม่เพียงแต่ต้องลดเวลาหน้าจอ ซึ่งเชื่อมโยงกับปัญหาด้านอารมณ์สังคมของเด็กเท่านั้น แต่ยังต้องปรับคุณภาพและรูปแบบการใช้หน้าจอให้ดียิ่งขึ้นด้วย

ทีมนักวิจัยแนะนำว่า พ่อแม่ เด็ก และกุมารแพทย์ควรร่วมกันพูดคุยอย่างรอบคอบ เพื่อประเมินว่าเด็กพร้อมสำหรับการมีสมาร์ทโฟนแล้วหรือไม่