ส่องนโยบายทองจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก ของนายกฯ ตระกูลชินวัตร
ต้องยอมรับว่าสมัย ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ ได้สร้างชื่อและประวัติศาสตร์เอาไว้มากมาย
เป็นนายกฯ ฝ่ายประชาธิปไตย ที่ดำรงตำแหน่ง จนครบ 4 ปี ในสภาฯ ได้สำเร็จ
จนเลือกตั้งใหม่ ปี 2548 ก็ชนะการเลือกตั้งอีกอย่างถล่มทลาย ได้คะแนนเสียงอย่างท่วมท้น
ส่ง ทักษิณ นั่งนายกฯ สมัยที่ 2 ได้เก้าอี้ สส. ไปถึง 377 ที่นั่ง ถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลสามารถจัดตั้งได้โดยมาจากพรรคการเมืองเดียว และมาจากการเลือกตั้ง ก่อนจะถูกรัฐประหารในปี 2549
มาถึงยุคลูกสาวคนเล็ก อุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ในการแถลงข่าว 18 ส.ค. ที่ผ่านมา เธอบอกว่า นโยบายหลักที่จะเดินหน้าต่อเลย คือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งตอนนี้ ยังไม่รู้ว่าคืออะไร และไม่แน่ใจว่าจะใช้ดิจิทัลวอลเลต หรือไม่ รวมถึงเร่งปราบปรามยาเสพติด, นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ และซอฟต์พาวเวอร์ 1 ครอบครัว 1 Soft Power
หากย้อนดูอดีตความสำเร็จของนโยบายทอง จากพ่อส่งต่อสู่ลูก เมื่อ 2 ใน 4 นโยบายแรก ของนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ มีชื่อที่คุ้นหู และเคยสำเร็จมาแล้วสมัย ทักษิณ ชินวัตร
——หนึ่ง ปราบยาเสพติด---
นโยบายการปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาดที่สุด แต่ได้ผลที่สุดในยุคทักษิณ
นโยบายนี้เริ่ม 1 ก.พ. 2546 แม้ดำเนินการเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น แต่สามารถจับกุมผู้ค้าได้กว่า 40,000 ราย และถูกจับกุมประหารชีวิตถึง 2,275 ราย
ด้วยความกลัวโดนวิสามัญหรือถูกจับ ทำให้ปราบปรามวงจรค้ายาไปได้เยอะมาก เพราะยุทธศาสตร์ของ นายกฯ ทักษิณ ปราบตั้งแต่ผู้ค้ารายใหญ่ จนถึงผู้เสพรายย่อย และแม้ไม่ได้ขาย แต่หากเป็นแหล่งกบดานเงิน ก็ต้องถูกยึดทรัพย์
นโยบายนี้เรียกทั้งเสียงชม แต่ก็เต็มไปด้วยเสียงวิจารณ์ จากนอกประเทศอย่างยูเอ็น ที่คัดค้านและตำหนิ แต่นายกฯ ทักษิณ ก็เดินหน้าต่อ เพราะมองว่า ยาเสพติด คือพิษร้ายต่อลูกหลานคนไทย จนเกิดวลีเด็ดอย่าง “ยูเอ็น ไม่ใช่พ่อผม”
เสียงวิจารณ์รุนแรง มาจากการที่คนร้ายบางส่วนถูก สังหารตัดตอน เนื่องจากผู้ค้าหวาดกลัวการซักทอด และส่วนหนึ่งมาจากน้ำมือของ โจรในคราบตำรวจ ที่รับส่วย และมาสังหารคนร้ายเสียเอง
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยุคนั้น คือยุคที่จำนวนผู้ค้าและผู้เสพยาเสพติดในไทยลดลงมากที่สุดแล้ว
ก็ต้องมาดูกันต่อว่า คุณอุ๊งอิ๊งค์ ที่จะใช้นโยบายเน้นประนีประนอมกว่า อย่าง “ปราบปราม รักษา ฟื้นฟู ดูแล” จะสำเร็จได้มากน้อยแค่ไหน ท่ามกลางจำนวนผู้ค้าและผู้เสพยาเสพติดที่เพิ่มสูงขึ้น
---บัตรทอง 30 บาท---
สิทธิบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค
หรือ สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นผลงานสร้างชื่ออย่างมากของรัฐบาลทักษิณ ตั้งแต่ปี 2545 และยังใช้จนถึงปัจจุบัน เพราะประชาชนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ เป็นตัวอย่างของรัฐสวัสดิการที่ดี ช่วยให้คนไทย เข้าถึงการรักษาขั้นพื้นฐานได้ โดยเสียแค่ 30 บาท ใน รพ.ตามทะเบียนบ้านที่อาศัย
แต่ข้อจำกัด คือ ยังขาดงบประมาณและบุคลากรเนื่องจากจำนวนคนไข้มหาศาล ทำให้หมอและพยาบาลไม่เพียงพอ ต้องโหมเวรกันหนัก ประชาชนก็ต้องรอคิวนาน
นี่เป็นโจทย์ที่ท้าย รอให้นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ได้แสดงฝีมือต่อ ทั้งการแก้ไขปัญหาเดิม (งบและคน)
และการเพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่ ที่รักษาได้ทุกที่ (ในรพ.เอกชนที่เข้าร่วมด้วย) แต่ก็ต้องทำให้ครบทั้งประเทศ จากต้นปีที่ผ่านมา 7 ม.ค. 67 นำร่องไปแล้วในหลายจังหวัด
---เดิมพัน---
นโยบายทองของตระกูลทักษิณนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีอิทธิพลต่อคะแนนนิยมของพรรคไทยรักไทย สู่ พรรคเพื่อไทยอย่างมาก จนอาจทำให้เป็นภาพจำว่า พรรคไทยรักไทย และ เพื่อไทย พูดจริง ทำจริง แต่จะเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน ประชาชนคงต้องเป็นผู้ตัดสิน ในเมือรัฐบาลชุดปัจจุบัน ยังคงเหลือเวลาในการทำหน้าที่อีก 3 ปี
จากนี้คงเป็นภารกิจที่หนักและท้าทาย นายกฯ คนใหม่เป็นอย่างมาก ทั้งการนำพาประเทศไปข้างหน้าท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจที่หนักหน่วง
ไหนจะต้องแสดงศักยภาพให้คนไทยยอมรับในความสามารถ
อยู่ที่คุณอุ๊งอิ๊งค์แล้วว่า จะทำให้คนจดจำได้ในฐานะไหน นายกฯ หญิงรุ่นใหม่ที่เก่งกาจ หรือ ลูกสาวตระกูลชินของอดีตนายกฯ ทักษิณ
แต่ยังไงเราคงต้องให้โอกาสแกได้ทำงาน และอีก 3 ปี ผลของการเลือกตั้งครั้งหน้า จะเป็นตัวชี้วัด ศักยภาพของผู้นำหญิงคนใหม่นี้เอง