อบต.เผยตึกถล่มที่พิษณุโลก ยังขออนุญาตก่อสร้างไม่เสร็จสิ้น ระงับใช้อาคารแล้ว

เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 2 ธันวาคม พ.ต.ท.รักถิ่น บำรุงศรี สว.(สอบสวน) สภ.เมืองพิษณุโลก รับแจ้งเกิดเหตุตึกถล่มภายในการก่อสร้างสำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเขต 2 (ภาคเหนือ) ต.สมอแข อ.เมือง จ.พิษณุโลก มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายรายและมีผู้เสียชีวิตติดอยู่ภายในอาคารก่อสร้างที่ถล่มลงมา จึงรุดตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.ภาคภูมิ ปราบศรีภูมิ ผกก.สภ.เมืองพิษณุโลก ตำรวจวิทยาการศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 6 แพทย์เวรโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร และเจ้าหน้าที่สมาคมกู้ภัยข่าวภาพ เข้าทำการตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุเป็นโครงการก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์และสิ่งก่อสร้างประกอบอื่นๆ เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 สิ้นสุดวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 งบประมาณกว่า 142 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินงานก่อสร้าง ลักษณะเป็นการก่อสร้างอาคาร 2 ชั้น ขณะเกิดเหตุอยู่ระหว่างเทพื้นชั้น 2

จากการสอบถามเจ้าหน้าที่กู้ภัยแจ้งว่า เมื่อเดินทางมาถึงแคมป์งานก่อสร้างได้มีการช่วยเหลือลำเลียงผู้บาดเจ็บ 1 ราย นำส่งโรงพยาบาลพุทธชินราชไปก่อนหน้านี้แล้ว และทราบว่ายังมีผู้เสียชีวิตเป็นชาย 1 ราย อยู่ด้านในตัวอาคารที่ถล่ม สภาพศพนอนคว่ำหน้า ถูกคานเหล็กและปูนหล่นทับ

เบื้องต้นเจ้าหน้าดำเนินการกั้นสถานที่ห้ามบุคคลภายนอกเข้าไปภายในเพื่อความปลอดภัย หากเกิดการถล่มของตัวอาคารซ้ำลงมาอีก อย่างไรก็ตาม ระหว่างพนักงานสอบสวนและแพทย์เวรมาถึงจุดเกิดเหตุในเวลาประมาณ 09.00 น. และได้ให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยไปตรวจสอบจุดพบร่างผู้เสียชีวิต ปรากฏว่ามีการเคลื่อนย้ายร่างผู้เสียชีวิตออกไปก่อนแล้ว มีการแจ้งว่านำส่งโรงพยาบาลพุทธชินราชพิษณุโลก ตำรวจจึงบันทึกและดำเนินการสอบสวนผู้รับเหมาก่อสร้าง ผู้ควบคุมงาน และคนงานก่อสร้างที่อยู่ที่เกิดเหตุต่อไป

นายพรพจน์ จูฑพลกุล นายช่างผังเมืองชำนาญงาน อบต.สมอแข เข้ามาตรวจสอบจุดเกิดเหตุ พร้อมเปิดเผยว่า อาคารที่กำลังก่อสร้างยังไม่ได้ขออนุญาตจนเสร็จสิ้นกระบวนการก่อนดำเนินการก่อสร้าง มีเพียงหนังสือแจ้งว่าจะดำเนินการก่อสร้าง แต่ยังไม่ได้ยื่นแบบส่งมาที่ อบต.สมอแข เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา แต่อยู่ระหว่างจัดส่งแบบอาคารที่จะทำการก่อสร้าง แต่ อบต.สมอแข ยังไม่ได้รับแบบอาคาร จนมาเกิดเหตุดังกล่าว จึงต้องดำเนินการห้ามใช้อาคารดังกล่าวไปก่อน จนกว่าจะดำเนินการส่งใบอนุญาตก่อสร้างให้ อบต.สมอแข ตามขั้นตอน

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวนเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงอีกครั้ง พร้อมจะเชิญผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาสอบปากคำเพิ่มเติมว่ามีการดำเนินงานก่อสร้างอย่างถูกต้องตามหลักหรือไม่ พร้อมจะเร่งสำรวจประเมินมูลค่าความเสียหายต่อไป