เปิด 5 ปัจจัยเสี่ยงรุมเร้าตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า
นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิจัย บล.เอเชียพลัส เปิดเผยถึงภาวะตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าหลังจากหยุดยาวในช่วงปีใหม่ว่า ปัจจัยหลักที่ต้องติดตาม 5 ประเด็นหลัก คือ 1.การแพร่ระบาดโควิดทั่วโลกรวมถึงในไทย ว่าจะมีการล็อกดาวน์เพิ่มเติมหรือไม่ เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าการทดลองวัคซีนเริ่มมีทิศทางดีถือเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อตลาด
2.ให้น้ำหนักการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส จากระดับ 7.7 ล้านบาร์เรล/วัน มาอยู่ที่ 7.2 ล้านบาร์เรล/วัน ทำให้กำลังการผลิตน้ำมันเพิ่มในตลาดอีก 5 แสนบาร์เรล/วัน 3. อังกฤษและสหภาพยุโรป (EU) ได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการค้าหลังอังกฤษแยกตัวออกจาก EU (Brexit) เรียบร้อยแล้ว
4.การประกาศตัวเลขจีดีพีโลกของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลก(เวิลด์แบงก์) ในวันที่ 6-7 ม.ค.นี้ และ 5. นโยบายการบริหารงานของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่จะทำพิธีรับตำแหน่ง 20 ม.ค.นี้
" ในประเทศตลาดให้ความสำคัญการล็อกดาวน์จ.สมุทรสาครที่ครบกำหนด 4 ม.ค.ว่ารัฐจะตีกรอบพื้นที่สีแดงอีกหรือไม่ การคุมเข้มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ รวมถึงการล็อกดาวน์ในจังหวัดอื่นที่มีการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นหรือไม่ถือเป็นปัจจัยความเสี่ยงต่อตลาดหุ้นไทย การเติบโตเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียน"
สำหรับมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศ เช่น คนละครึ่ง เฟส 2 ที่จะทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบไม่น้อยกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท และการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมของรัฐบาลที่ใช้งบกว่า 2 หมื่นล้านบาท จะช่วยหนุนการบริโภคในประเทศให้ฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม จีดีพีปีฉลูคาดว่าจะเติบโต 4.1% กำไรบจ.จะกลับมาขยายตัว 38% แต่ถ้าสถานการณ์การแพร่ระบาดยืดเยื้ออาจทำให้จีดีพีขยายตัวเพียง 3% โดยปี 63 ที่ผ่านมานักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจีดีพีจะติดลบ 6.5% กำไรของบจ.ติดลบ 46.6%หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้านกลยุทธ์การลงทุนมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย คาดว่าเงินทุนไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงไทย เนื่องจากคาดการณ์ว่าปี 64 เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยค่อย ๆ ฟื้นตัว ขณะที่การใชนโยบายการเงินผ่อนคลายยังมีอยู่ตลอดทั้งปี และดอกเบี้ยทั่วโลกยังอยู่ในระดับต่ำสุด และบางประเทศยังใช้มาตรการQE พยุงเศรษฐกิจ
ส่วนประเทศไทยนั้น ดุลการค้าของไทยที่เกินดุลต่อเนื่อง สภาพคล่องสูง โดยเฉพาะเงินฝากที่อยู่ในระบบมากถึง 15.5 ล้านล้านบาท และดอกเบี้ยที่ต่ำทำให้ตลาดหุ้นไทยสามารถไปต่อได้ แม้จะมีความเสี่ยงด้านโควิดในช่วงระยะกลางและยาว ดังนั้นในช่วงตลาดผันผวนแนะลงทุนหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นที่ปันผลสูง คาดว่ากำไรเติบโตทั้ง QOQ และ YOY
ส่วนหุ้นที่น่าลงทุน เช่น ADVANC พื้นฐานแข็งแกร่ง การล็อกดาวน์ทำให้พนักงานทำงานที่บ้านเพิ่มส่งผลดีต่อธุรกิจราคาเป้าหมาย 220 บาท หุ้น AP คาดว่างบในไตรมาส 4 จะเติบโตดีจากยอดโอนส่งผลให้กำไรทำนิวไฮต่อเนื่องและเน้นขยายการลงทุนบ้านแนวราบเพิ่ม คาดปันผลประมาณ 6.7% ราคาเป้าหมายที่ 8.35 บาท
ปิดท้ายที่ GULF แนวโน้มเติบโตจากโครงการใหม่ที่ทยอย COD ตามแผนรวม 1,382 เมกกะวัตต์ การรับรู้รายได้จากโครงการ GCG รายได้จากปันผล INTUCH ที่เพิ่มขึ้นตามสัดส่วนการถือหุ้น 10%คาดกำไรจะโตก้าวกระโดด 94% ราคาเป้าหมายที่ 38.50 บาท อย่างไรก็ตาม กรอบการลงทุนในสัปดาห์หน้าแนวรับ 1,400-1,438 จุด แนวต้านที่ 1,500 จุด
"จากสถิติข้อมูลพบว่าในช่วงปี59 ถึงปัจจุบันพบว่าเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง ต่างชาติเทขายมากถึง 540,000 ล้านบาทโดยในปี 63 (ม.ค.63-21 ธ.ค.63) พบว่าในกลุ่ม TIPต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 263,000 ล้านบาท รองลงมาคือมาเลเซีย และฟิลิปปินส์"
เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNTHAILAND.comfacebook : TNNONLINE
facebook live : TNN Live
twitter : TNNONLINE
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNONLINE
Instagram : TNN_ONLINE
TIKTOK : @TNNONLINE