ชายคนที่ 7 ของโลก ปลอดเชื้อ HIV หลังได้รับการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์

ชายชาวเยอรมันคนหนึ่งยังคงอยู่ในภาวะปลอดเชื้อ HIV นานถึงหกปีหลังได้รับการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์เพื่อรักษามะเร็งเม็ดเลือดรุนแรง นับเป็นผู้ป่วยรายที่เจ็ดของโลกที่สามารถเข้าสู่ภาวะทุเลาระยะยาวจาก HIV ได้สำเร็จ
ผู้ป่วยรายนี้ซึ่งรู้จักในชื่อ Berlin 2 หรือ B2 ได้รับสเต็มเซลล์จากผู้บริจาคที่มียีนกลายพันธุ์ CCR5 Δ32 1 ชุด ซึ่งยีนนี้มีคุณสมบุติในการช่วยป้องกัน HIV
ปกติแล้วการได้รับสเต็มเซลล์เพื่อกำจัดเชื้อ HIV จะต้องมียีนกลายพันธุ์ที่ว่านี้ 2 ชุด จึงจะเพียงพอให้ร่างกายขจัดเชื้อออกไปได้อย่างสมบูรณ์ จึงจะได้รับการยืนยันว่าปลอดเชื้อ
คำถามคือ แล้วผู้ป่วย B2 ซึ่งได้รับสเต้มเซลล์ ที่มียีนกลายพันธุ์เพียง 1 ชุด หายจาก HIV ได้อย่างไร?
คริสเตียน เกบ์เลอร์ นักภูมิคุ้มกันวิทยาจากเบอร์ลิน ดำเนินการศึกษาเรื่องนี้ โดยหวังว่าจะทำให้เขาและเพื่อนๆ ในวงการเข้าใจ HIV มากขึ้น นำไปสู่การพัฒนาวิธีรักษาให้มีประสิทธิภาพขึ้น เนื่องจากปัจจุบัน HIV ยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด นอกจากการทานยาต้านเชื่อกดเอาไว้ ซึ่งแม้จะเพียงพอช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ แต่การทำให้เชื้อหายไปอย่างสิ้นเชิง ยังเป้นความหวังสูงสุดในของการรักษาโรคนี้
โดยทั่วไป หมอเรียก HIV ว่าเป็นไวรัสที่ดื้อรั้น เชื้อนี้อาศัยตัวรับ CCR5 ในการเข้าสู่เซลล์ และแฝงตัวเป็น DNA อยู่ในเซลล์ภูมิคุ้มกันบางชนิดได้นานหลายปี เพื่อสร้าง “แหล่งกักเก็บเชื้อ” ที่ยาต้านไวรัสไม่สามารถกำจัดได้ ผลคือ การหยุดยาเพียงช่วงสั้นๆ ก็อาจทำให้เชื้อกลับมาเพิ่มจำนวนอีกครั้ง
การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์เป็นหนึ่งในวิธีที่สามารถลดแหล่งซ่อนเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะผู้ป่วยต้องผ่านเคมีบำบัดรุนแรงเพื่อล้างระบบภูมิคุ้มกันเดิมก่อน จากนั้นสเต็มเซลล์ของผู้บริจาคจะเข้ามาสร้างระบบภูมิคุ้มกันใหม่ที่สามารถตรวจจับและกำจัดเซลล์ที่ยังซ่อนเชื้ออยู่ผ่านกลไกที่เรียกว่า graft-versus-reservoir
ก่อนหน้านี้ มีผู้ป่วย 5 ราย ที่ได้รับสเต็มเซลล์จากผู้บริจาคมี CCR5 Δ32 แบบคู่ (2 ชุด) ทำให้เซลล์ใหม่ไม่มีตัวรับ CCR5 ที่ HIV ใช้ในการเข้าจู่โจม ลดโอกาสที่ไวรัสจะหาที่ซ่อนใหม่ได้
B2 แตกต่างจากผู้ป่วยเหล่านี้ เพราะในตัวเขามียีน CCR5 Δ32 อยู่แล้ว 1 ชุด ก่อนรับสเต็มเซลล์จากผู้บริจาคที่มียีน 1 ชุด
แม้ผู้บริจาคจะไม่มียีนแบบคู่เหมือนคนอื่นๆ แต้หลังเข้ารับการลูกถ่ายในปี 2015 สุขภาพของเขาก็ดีขึ้นมากจนในปี 2018 เขาตัดสินใจหยุดยาต้านไวรัสด้วยตัวเอง แม้แพทย์จะคัดค้านก็ตาม
ผลปรากฏว่า ไวรัสในร่างกายของเขาก็ยังคงตรวจไม่พบอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ซึ่งกลไกสำคัญมาจากการลดแหล่งกักเก็บเชื้อและการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันใหม่ที่เข้มแข็ง
กรณีของ B2 กลายเป็นจุดเปลี่ยสำคัญของทิศทางการวิจัย จากการมองหาผู้บริจาคที่มียีนหายาก แต่นักวิจัยอาจไม่จำเป็นต้องหาผู่บิจาคที่มียีนคู่อีกต่อไป แต่การรักษาที่ได้ผลต้องอาศัยการหาวิธีลดแหล่งกักเก็บเชื้อที่ได้ประสิทธิภาพแทน นักวิจัยสรุปว่าการลดแหล่งกักเก็บเชื้ออย่างมีนัยสำคัญอาจนำไปสู่การรักษา HIV ได้ แม้จะไม่มียีน CCR5 Δ32 แบบคู่ก็ตาม และนี่อาจเป็นกุญแจสำคัญของการพัฒนาวิธีรักษาในอนาคต