รีเซต

ปี 2569 เอเชียกระเตื้อง “ไทย” โตต่ำ

ปี 2569 เอเชียกระเตื้อง “ไทย” โตต่ำ
TNN ช่อง16
24 ธันวาคม 2568 ( 11:24 )
14

ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) เผยแพร่รายงาน “แนวโน้มการพัฒนาเอเชีย” (Asian Development Outlook) ฉบับล่าสุดเดือนธันวาคม ระบุว่า เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียยังสามารถรองรับแรงกระแทกและฟื้นตัวได้ดี โดยได้แรงหนุนจากการบริโภคในประเทศ ประกอบกับการส่งออกที่แข็งแกร่งเนื่องจากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการเพิ่มความหลากหลายของตลาดส่งออกที่ช่วยบรรเทาผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ส่วนอัตราเงินเฟ้อก็ลดลง อย่างไรก็ตาม การลงทุนชะลอตัวลงเนื่องจากการปรับลดสต็อกสินค้าและความไม่แน่นอนทางการค้าที่ยังคงมีอยู่


ADB ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของ GDP สำหรับประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 5.1 จากเดิมที่คาดไว้ที่ร้อยละ 4.8 ในเดือนกันยายน และปรับเพิ่ม GDP ในปี 2569 จะโตที่ร้อยละ 4.6 จากเดิมที่คาดไว้ที่ร้อยละ 4.5 ถึงแม้ว่าการเติบโตในภูมิภาคนี้จะชะลอตัวลงในปีหน้า แต่ความแข็งแกร่งของการส่งออกที่มีแรงหนุนจากความต้องการปัญญาประดิษฐ์ (AI) และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับความไม่แน่นอนทางการค้าที่ลดลงหลังจากรัฐบาลหลายประเทศบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ 


อย่างไรก็ตาม หากสหรัฐฯ กลับมาใช้มาตรการขึ้นภาษีศุลกากร ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้ารุนแรงขึ้น และตลาดการเงินผันผวนหนักขึ้น ถือเป็นความเสี่ยงเชิงลบที่สำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต รวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ความตึงเครียดในท้องถิ่น และวิกฤตตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจีนรุนแรงกว่าที่คาดไว้ ก็อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มของทั้งภูมิภาค 


ในไตรมาส 3 ปีนี้ ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ที่ร้อยละ 5.4 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนถูกชดเชยด้วยการเร่งตัวขึ้นของเศรษฐกิจอินเดีย ขณะที่อุปสรรคภายนอกกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ประกอบกับปัจจัยขับเคลื่อนเฉพาะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจแตกต่างกันไป กรณีของ “จีน” การขยายตัวของ GDP ในไตรมาส 3 ชะลอตัวลงแตะร้อยละ 4.8 จากช่วงครึ่งปีแรกที่อยู่ที่ร้อยละ 5.3 มาจากความต้องการบริโภคในประเทศที่อ่อนแอ ประกอบกับวิกฤตตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่คลี่คลาย และการลดมาตรการสนับสนุนให้ผู้คนนำสินค้าเก่ามาแลกซื้อสินค้าใหม่ ล้วนส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ผิดกับการส่งออกที่แข็งแกร่งเกินคาดเนื่องจากการเพิ่มความหลากหลายของตลาดส่งออกแทนการพึ่งพาสหรัฐฯ เหมือนอดีต ส่วน “อินเดีย” เศรษฐกิจโตแรงเกินคาด โดย GDP ขยายตัวถึงร้อยละ 8.2 ในระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน นับเป็นการเติบโตมากที่สุดในรอบ 6 ไตรมาส ปัจจัยหนุนมาจากการบริโภคภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง ถึงแม้การบริโภคภาครัฐจะอยู่ในระดับต่ำ 


ขณะที่หากไม่นับรวมจีนและอินเดีย การขยายตัวของ GDP โดยเฉลี่ยของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียอยู่ที่ร้อยละ 4.1 ในไตรมาส 3 ปีนี้ ขยับขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 3.9 ในช่วงครึ่งปีแรก แต่แนวโน้มก็แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ในส่วนของประเทศผู้ส่งออกเทคโนโลยีที่มีรายได้สูงส่วนใหญ่และกลุ่มประเทศอาเซียนเติบโตแข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนจากความต้องการอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก การส่งออกสินค้าเกี่ยวกับ AI ของไต้หวันช่วยรักษาระดับการเติบโตที่กว่าร้อยละ 7 ขณะที่อินโดนีเซียและมาเลเซียก็เติบโตสูงเช่นกัน แต่การลงทุนที่ชะลอตัวส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของหลายประเทศ รวมถึงปัจจัยภายในแต่ละประเทศเอง อย่างกรณีของสิงคโปร์ที่นำเข้าแซงหน้าการส่งออก ส่วนไทยการบริโภคชะลอตัวท่ามกลางการใช้จ่ายด้านบริการที่ลดลง ฟิลิปปินส์เผชิญกับมาตรการควบคุมทางการคลังและงบประมาณที่เข้มงวด


ในด้านการลงทุนชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัดในไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปีนี้ การชะลอตัวดังกล่าวเกิดขึ้นในวงกว้าง กรณีจีนการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรลดลงร้อยละ 8 ในไตรมาส 3 สะท้อนถึงความอ่อนแอที่ยืดเยื้อของตลาดอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการลงทุนในภาคการผลิตและโครงสร้างพื้นฐานที่ชะลอลงจากความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ยังไม่ฟื้น เช่นเดียวกับการลงทุนที่ชะลอตัวแรงในไตรมาส 3 ในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกเทคโนโลยีที่มีรายได้สูงและกลุ่มอาเซียน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการปรับลดสินค้าคงคลังเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน ซึ่งในหลายประเทศกลับกลายเป็นผลเสีย แรงเหวี่ยงด้านการลงทุนภาคเอกชนก็ชะลอตัวลงในบางประเทศเช่นกัน พลวัตเหล่านี้สอดคล้องกับการปรับตัวตามวัฏจักรธุรกิจ ซึ่งน่าจะเชื่อมโยงกับความต้องการในตลาดโลกที่ชะลอลง เนื่องจากผลกระทบจากการเร่งส่งออกล่วงหน้าก่อนมาตรการกำแพงภาษีเริ่มจางหายไป ในทางตรงกันข้าม การลงทุนภาคเอกชนสูงขึ้นในฮ่องกง จีน สิงคโปร์ และไทย โดยได้อานิสงส์จากงานก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นและการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในส่วนอุปกรณ์และสินค้าด้านทรัพย์สินทางปัญญา 

ดัชนีชี้วัดหลายตัวสะท้อนรูปแบบกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของ “S&P โกลบอล” สะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่นในเดือนพฤศจิกายน โดยตัวเลขที่สูงกว่า 50 สะท้อนถึงสภาวะที่ดีขึ้นใน 6 จาก 10 เขตเศรษฐกิจที่มีข้อมูล กรณีของอินเดีย แม้ว่า PMI จะอยู่เหนือ 50 แต่ภาคการผลิตลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน เพราะภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ กระทบต่อคำสั่งซื้อสินค้าและกิจกรรมการผลิต ส่วน PMI ของฟิลิปปินส์ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 4 ปี ท่ามกลางการผลิตและคำสั่งซื้อใหม่ที่ลดลง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากพายุไต้ฝุ่น สำหรับตัวเลข PMI สะท้อนกิจกรรมการผลิตที่ดีขึ้นในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ขณะที่จีน PMI อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 เพราะคำสั่งซื้อใหม่ลดลง 


ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าลดลงหลังจากสหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนลง ขณะที่จีนระงับมาตรการจำกัดการส่งออกแร่หายากและแร่สำคัญ แต่ความไม่แน่นอนระหว่าง 2 เขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ก็ยังสูง นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังเรียกเก็บภาษีจากการนำเข้าสินค้าหลายรายการ ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนสำหรับภาษีบางรายการ อาทิ ยาและเซมิคอนดักเตอร์ 


สำหรับการส่งออกในภูมิภาคนี้ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี เนื่องจากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่แข็งแกร่ง ข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม-กันยายนปีนี้ การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของเขตเศรษฐกิจกำลังพัฒนาในเอเชีย ไม่นับรวมจีน เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 โดยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ส่วนการส่งออกในเดือนตุลาคมจากประเทศผู้ส่งออกเทคโนโลยีที่มีรายได้สูงเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว หลัก ๆ มาจากการส่งออกของไต้หวันที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 49 ท่ามกลางความต้องการชิปเซมิคอนดักเตอร์ที่แข็งแกร่งทั่วโลก ด้านจีนส่งออกลดลงร้อยละ 1 ในเดือนตุลาคม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลจากการเปรียบเทียบกับฐานที่สูง และผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินหยวน แต่ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ การส่งออกของจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ ซึ่งมาจากการส่งออกเครื่องจักรและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบกับการกระจายการส่งออกไปตลาดอื่น ๆ นอกเหนือจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะตลาดเอเชีย

รายงานล่าสุดยังคงคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้วหลัก ๆ เท่ากับเมื่อเดือนกันยายน โดยสหรัฐฯ น่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 1.7 ในปีนี้ และร้อยละ 1.8 ในปี 2569 เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายยังจะส่งผลกระทบต่อความต้องการบริโภคภายในประเทศ การปิดทำการของรัฐบาลกลาง หรือชัตดาวน์ ซึ่งกินเวลา 43 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมถึง 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ถือเป็นการปิดทำการยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ และทำให้การเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจล่าช้า การกำหนดนโยบายมีความซับซ้อนขึ้นและเพิ่มความไม่แน่นอนของนโยบายสหรัฐฯ ส่วนคาดการณ์การเติบโตของเขตเศรษฐกิจที่ใช้เงินสกุลยูโรร่วมกัน หรือยูโรโซน ยังคงเดิมที่ร้อยละ 1.2 สำหรับทั้งปีนี้และปีหน้า ปัจจัยหนุนมาจากค่าจ้างที่แท้จริงเพิ่มขึ้นและอัตราการว่างงานต่ำ ด้านแนวโน้มการเติบโตของญี่ปุ่นยังคงอยู่ที่ร้อยละ 1.1 ในปีนี้ และร้อยละ 0.6 สำหรับปีหน้า คาดว่านโยบายการคลังแบบขยายตัว (expansionary fiscal policy) ภายใต้รัฐบาลใหม่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตในระยะสั้น แม้ว่าปัจจัยภายนอกยังท้าทาย รวมถึงการอ่อนค่าของเงินเยนก็อาจเพิ่มแรงกดดันเรื่องต้นทุนการนำเข้า 


ส่วนการเติบโตของ GDP ในประเทศกลุ่มอาเซียน ส่วนใหญ่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการส่งออกที่แข็งแกร่ง ในภาพรวมอาเซียนน่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 4.5 ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนกันยายนที่ร้อยละ 4.3 และจะโตที่ร้อยละ 4.4 ในปีหน้า ขยับขึ้นจากร้อยละ 4.3 ที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ โดยประเทศที่น่าจะทำผลงานดีขึ้น ได้แก่ อินโดนีเซีย คาดว่า GDP ในปีนี้จะโตที่ร้อยละ 5.0 ขยับจากที่คาดการณ์เดิมที่ร้อยละ 4.9 และในปีหน้าอยู่ที่ร้อยละ 5.1 จากเดิมที่คาดไว้ที่ร้อยละ 5.0 แรงหนุนมาจากความต้องการบริโภคในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้านมาเลเซีย GDP ในปีนี้น่าจะแตะที่ร้อยละ 4.5 เพิ่มจากคาดการณ์เดิมที่อยู่ที่ร้อยละ 4.3 และในปีหน้าจะอยู่ที่ร้อยละ 4.3 ขยับจากคาดการณ์เดิมที่ร้อยละ 4.2 จากการลงทุนด้านดิจิทัลจำนวนมากที่เข้าประเทศ ส่วนสิงคโปร์มีแนวโน้มจะขยายตัวที่ร้อยละ 4.1 ในปีนี้ จากเดิมที่คาดไว้เพียงร้อยละ 2.5 และในปี 2569 น่าจะโตที่ร้อยละ 2.1 จากเดิมที่คาดไว้ร้อยละ 1.4 เกิดจากการลงทุนทั่วโลกด้าน AI และการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มขึ้น และเวียดนามที่ GDP ปีนี้น่าจะโตแกร่งที่ร้อยละ 7.4 ขยับขึ้นจากที่คาดการณ์เดิมที่ร้อยละ 6.7 และในปีหน้าน่าจะโตที่ร้อยละ 6.4 เพิ่มจากคาดการณ์เดิมที่อยู่ที่ร้อยละ 6.0 


ขณะที่เศรษฐกิจฟิลิปปินส์มีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยในปีนี้น่าจะโตที่ร้อยละ 5.0 ลดลงจากเดิมที่คาดไว้ที่ร้อยละ 5.6 ส่วนไทย ADB คงแนวโน้มเติบโตทั้งในปีนี้และปีหน้า โดยในปีนี้น่าจะโตที่ร้อยละ 2.0 และในปีหน้าน่าจะโตที่ร้อยละ 1.6

อัตราเงินเฟ้อของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย-แปซิฟิกคาดว่าจะลดลงเหลือร้อยละ 1.6 ในปี 2568 จากที่ประเมินไว้ที่ร้อยละ 1.7 ในเดือนกันยายน หลัก ๆ มาจากอัตราเงินเฟ้อด้านอาหารในอินเดียต่ำกว่าที่คาดไว้ และคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 2569 ยังไม่เปลี่ยนแปลง โดยอยู่ที่ร้อยละ 2.1 ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อในจีนปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย แต่โดยเฉลี่ยแล้วยังคงลดลงในประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ในเอเชีย


แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิกจะเผชิญกับความเสี่ยงเชิงลบหลายเรื่อง ทั้งความเป็นไปได้ที่จะเกิดความตึงเครียดจากสงครามภาษีและความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า รวมถึงความผันผวนของตลาดการเงิน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการลงทุน การปรับฐานราคาอย่างรวดเร็วของสินทรัพย์อาจทำให้ปัญหาหนี้สินเปราะบางขึ้น กระตุ้นให้เกิดการไหลออกของเงินทุนและวิกฤตหนี้ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังกระทบต่อโอกาสของภูมิภาค ความตึงเครียดในท้องถิ่นอาจขัดขวางการลงทุนและความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ความตึงเครียดในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนเป็นอีกหนึ่งจุดอ่อนสำคัญ เพราะหากสถานการณ์เลวร้ายลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของภูมิภาคและความมั่นคงทางการเงิน นอกจากนี้ การชะลอตัวของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีแบบกะทันหันก็อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการส่งออก โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจที่มีความเชื่อมโยงกันในด้านอิเล็กทรอนิกส์และภาคส่วนที่ขับเคลื่อนด้วย AI 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง