รีเซต

สกัดสินค้าถูกทะลักไทย "กรมศุลกากร" สั่งเก็บภาษีสินค้าต่างประเทศจากช็อปปิงออนไลน์ ขั้นต่ำตั้งแต่ 1 บาทแรก เริ่ม 1 มกราคม 2569

สกัดสินค้าถูกทะลักไทย "กรมศุลกากร" สั่งเก็บภาษีสินค้าต่างประเทศจากช็อปปิงออนไลน์ ขั้นต่ำตั้งแต่ 1 บาทแรก เริ่ม 1 มกราคม 2569
TNN ช่อง16
6 พฤศจิกายน 2568 ( 11:30 )
4

"กรมศุลกากร" สั่งเก็บ "ภาษีนำเข้า" สินค้าจากต่างประเทศ ที่สั่งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ขั้นต่ำตั้งแต่ 1 บาทแรก เริ่ม 1 มกราคม 2569 หวังสกัดสินค้าต่างประเทศราคาถูกทะลักไทย ช่วยเอสเอ็มอี คาดรีดรายได้เข้ารัฐเพิ่ม 3,000 ล้านบาท 


นายพันทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากรเตรียมเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศทุกชิ้นที่สั่งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ (e-commerce) เริ่่มขั้นต่ำตั้งแต่ 1 บาทแรก จากเดิมที่ยกเว้นไว้ให้กรณีมีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท จะเริ่มดำเนินการทันทีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป 


โดยเบื้องต้นนัดหารือกับแพลตฟอร์มรายใหญ่ 2 แห่งคือ Shopee กับ Lazada ในวันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2568 นี้ โดยเป็นการขอความร่วมมือให้ทางแพลตฟอร์มส่งรายละเอียดสินค้ามาก่อน เพื่อดูว่ามีสินค้ากี่ชิ้น มูลค่าเท่าไหร่ เสียภาษีนำเข้าและ VAT เท่าไหร่ เนื่องจากกรมศุลกากรไม่มีอำนาจในการไปบังคับส่วนนี้ แต่หากแพลตฟอร์มไหนให้ความร่วมมือก็จะเป็นผลดี เพราะจะทำให้กรมฯ มีข้อมูลในการตรวจปล่อยสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเร็วมากขึ้น แต่หากไม่ได้รับความร่วมมือ และไม่มีข้อมูลมา ก็อาจจะส่งผลกระทบทำให้การตรวจปล่อยสินค้าออกไปทำได้ล่าช้าลง เพราะสินค้าเข้าไทยแต่ละปีที่เข้ามามีหลายหมื่นชิ้น  


สำหรับแนวทางการดำเนินการ คือ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 กรมศุลกากรจะเริ่มเก็บอากรสินค้านำเข้าตามพิกัดอัตราภาษีศุลกากร พร้อมภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป ซึ่งสินค้าแต่ละชนิดจะเสียอากรไม่เท่ากัน เนื่องจากต้องพิจารณาจากประเภทของสินค้านั้นด้วย ว่าคืออะไร ทำจากอะไร เช่น สินค้าที่ทำด้วยพลาสติก อาจจะเสียอากร 20% บวกด้วย VAT 7


นายพันทองระบุว่าในแต่ละปีกรมฯ เก็บภาษี VAT ได้ราว 2,000 กว่าล้านบาท ซึ่งถือเป็นแนวทางระยะสั้น แต่ในระยะยาวหรือในอนาคต ทางกรมฯ อาจจะมีเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าแบบเหมาจ่าย เช่น 20% หรือ 30%สำหรับสินค้าที่มาในรูปแบบกล่องขนาดเล็กทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตามการดำเนินการดังกล่าวจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายและกฎกระทรวงซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาไม่น่าจะทันระยะเวลา 4 เดือนของรัฐบาลนี้ 


โดยหลักการจะลดมูลค่าขั้นต่ำของสินค้านำเข้าที่ได้รับการยกเว้นภาษีและพิธีการศุลกากร (de minimis) ที่จะไม่เก็บอากรศุลกากรเหลือตั้งแต่ 1 บาทแรก จากเดิมกำหนดที่ 1,500 บาท ซึ่งแนวทางนี้สามารถดำเนินการได้โดยอำนาจของอธิบดีกรมศุลกากรโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังนั้นสามารถทำได้เลยโดยไม่ต้องแก้ไขกฎหมายอะไร จึงสามรถดำเนินการได้รวดเร็วทันกับกรอบนโยบาย Quick Big Win


ทั้งนี้ช่วงที่ผ่านมาได้เว้นการเก็บภาษี VAT และอากรนำเข้าสินค้าที่มูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท และเริ่มเริ่มเก็บ VAT แล้ว แต่สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ คือ จะเริ่มเก็บภาษีศุลกากรนำเข้าเพิ่มเติมจากสินค้าราคาตั้งแต่ 1 บาทเป็นต้นไป โดยเริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 ซึ่งนโยบายดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของบทบาทด้านสังคมและการจัดเก็บรายได้ของกรมศุลกากร สินค้าที่เข้ามามีจำนวนเป็นล้านชิ้นต่อปี จึงไม่สามารถทำการตรวจสอบทั้งหมด 


สำหรับในปี 2567 ที่ผ่านมาสินค้าที่ต่ำกว่า 1,500 บาท มีจำนวนเกือบ 200 ล้านชิ้น มีมูลค่ารวมประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาสามารถเก็บภาษี VAT ได้ที่ 2,000 ล้านบาท ขณะที่ส่วนใหญ่สินค้าดังกล่าวส่วนใหญ่มีอัตราภาษีเฉลี่ยที่ 10-30% ดังนั้นหากเริ่มจัดเก็บภาษีศุลกากรนำเข้าโดยคำนวนจากอัตราภาษีเฉลี่ยที่ 10% คาดว่าสร้างรายได้เข้ารัฐเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3,000 ล้านบาท 


นายพันทอง ย้ำว่า มาตรการใหม่นี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มรายได้รัฐ แต่ยังสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย และช่วยสกัดสินค้าผิดกฎหมาย เช่น บุหรี่ไฟฟ้า ตั้งแต่ต้นทาง


นอกจากนี้ กรมศุลกากรยังเตรียม ปรับระบบตรวจปล่อยสินค้าให้เป็นสากล โดยจัดกลุ่มผู้ประกอบการเพื่อลดภาระของผู้ประกอบการสุจริต และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รวมถึงเร่งคืนภาษีที่ค้างอยู่กว่า 100 ล้านบาท ให้ผู้ประกอบการเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง และในขณะเดียวกัน เตรียมออกระเบียบ ยกเลิกเงินรางวัลผู้บริหารระดับ 8 ขึ้นไป เพื่อลดข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อน โดยยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ศุลกากรทุกคนยังคงมุ่งมั่นทำงานเต็มกำลัง แม้ไม่มีเงินรางวัลดังกล่าว


“Customs Quick Big Win” กรมศุลกากรสานนโยบายรัฐบาลเร่งทำงานเพื่อประชาชน 

 

สำหรับนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล กรมศุลกากรพร้อมดำเนินการตามภายใต้บทบาทหลัก 3 ด้าน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้


1. Trade Enabler – การใช้มาตรการทางศุลกากรเพื่อกระตุ้นให้เกิดการค้า

กรมศุลกากรจะมุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านมาตรการทางศุลกากร เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดการค้า โดยเร่งปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการนำเข้า–ส่งออก ปรับกระบวนการตรวจสินค้าสู่มาตรฐานสากลเพื่อลดภาระให้แก่ผู้ประกอบการที่สุจริต เร่งคืนภาษี เงินวางประกัน และเงินชดเชย เพื่อเพิ่มสภาพคล่องแก่ภาคธุรกิจนอกจากนี้ ยังสนับสนุนการจัดทำ FTAs เพื่อขยายตลาดส่งออกของประเทศ เพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการ AEO (Authorized Economic Operator) ส่งเสริมการขนส่งสินค้าทางรถไฟ ปรับปรุงพิธีการถ่ายลำและผ่านแดน ลดระยะเวลาการตรวจปล่อยสินค้า รวมถึงเปิดโอกาสให้ ICD (Inland Container Depot) สามารถตรวจปล่อยสินค้าขาออกได้โดยตรง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับภาคเอกชนอย่างแท้จริง


2. Social Protector – การปกป้องสังคมจากสินค้าผิดกฎหมาย

กรมศุลกากรจะดำเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าทุ่มตลาด สินค้าปลอมแปลงถิ่นกำเนิด และสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน พร้อมเดินหน้าเตรียมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อควบคุมการจำหน่ายของผิดกฎหมาย นอกจากนี้ยังจะนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการตรวจสอบสินค้า รวมถึงปรับอัตราการเปิดตรวจสินค้าให้เหมาะสมและเป็นไปตามมาตรฐานสากล


3. Revenue Collector – การจัดเก็บรายได้ของรัฐอย่างเป็นธรรม

กรมศุลกากรจะปรับมุมมองในการจัดเก็บภาษี จากเดิมที่มุ่งเน้นเฉพาะการจัดเก็บอากร ไปสู่การจัดเก็บภาษีทุกประเภทอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต ภาษีเพื่อมหาดไทย หรือภาษีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมกันนี้ จะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้าที่ได้รับยกเว้นอากรแต่ยังต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงการพิจารณายกเลิกการกำหนด De minimis value เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการและเพิ่มรายได้ของรัฐอย่างมั่นคง


อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวต่ออีกว่า นโยบาย “Customs Quick Big Win” ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับบทบาทของกรมศุลกากรให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล มุ่งสร้างสมดุลระหว่างการอำนวยความสะดวกทางการค้า การปกป้องสังคม และการเพิ่มรายได้ภาครัฐ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างมั่นคงและยั่งยืน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง