จะเกิดอะไรขึ้น? หาก Apple ทำ "iPhone ไร้สาย" ตัดพอร์ตเชื่อมต่อออกทั้งหมด
หลังจากที่คณะกรรมาธิการยุโรปได้กำหนดข้อบังคับให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงสมาร์ตโฟน ที่จะวางจำหน่ายในกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ต้องใช้พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ iPhone สมาร์ตโฟนจาก Apple ที่ยังใช้พอร์ตเชื่อมต่อแบบ Lightning
แต่จะเกิดอะไรขึ้นหาก Apple ตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยี "ไร้สาย" กับ iPhone รุ่นใหม่ แทนที่จะเปลี่ยนไปใช้ USB-C ตามข้อบังคับของคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งข้อบังคับดังกล่าวไม่ครอบคลุมอุปกรณ์ไร้สาย จึงมีข่าวลือว่า Apple อาจหลีกเลี่ยงการใช้ USB-C แล้วนำพอร์ตเชื่อมต่อออกทั้งหมดจนกลายเป็น iPhone แบบไร้สายอย่างเต็มตัว
ความยากลำบากในการชาร์จแบตเตอรี่
ปัญหาใหญ่ที่สุดของการเปลี่ยนมารูปแบบไร้สาย คือ การชาร์จแบตเตอรี่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าการชาร์จแบตเตอรี่ที่ดีที่สุดยังต้องอาศัยอะแดปเตอร์และสายเคเบิล อย่างน้อยมันก็ทำให้คุณมั่นใจว่า iPhone กำลังถูกชาร์จแบตเตอรี่อยู่อย่างแน่นอน
แม้ Apple ได้พัฒนาเทคโนโลยี MagSafe เพื่อช่วยให้การชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายมีความสะดวกและเที่ยงตรงมากขึ้น แต่มันยังมีโอกาสเกิดความผิดพลาดได้กรณีที่สมาร์ตโฟนถูกวางไว้ในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจส่งผลให้ความเร็วในการชาร์จลดลงได้
นอกจากนี้ ในแง่ของความประหยัด อย่างที่คุณเห็นราคาของ MagSafe จะอยู่ที่ราว ๆ 1,590 บาท ในขณะที่อะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่มีราคาเพียง 790 บาท และถ้าหาก iPhone สามารถใช้ USB-C ได้ด้วย คุณก็สามารถใช้อุปกรณ์ชาร์จร่วมกับอุปกรณ์อื่นได้ด้วย เรียกได้ว่าพกเพียงชุดเดียวใช้งานกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้ทุกชิ้น
ความเร็วและความเสถียรในการส่งข้อมูล
ประเด็นของการส่งข้อมูลแบบไร้สายนั้น ผู้อ่านบางท่านอาจเห็นแย้งว่าการส่งข้อมูลแบบไร้สายผ่านอินเทอร์เน็ตนั้น ไม่ได้มีผลกระทบในแง่ของความเร็วมากนัก เนื่องจากปัจจุบันอินเทอร์เน็ตมีความเร็วมากขึ้น รวมถึงเทคโนโลยีการเชื่อมต่อไร้สายทั้งไวไฟและบลูทูธก็ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิม ดังนั้น การส่งข้อมูลแบบไร้สายจึงไม่น่าจะเป็นปัญหาสักเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หากเป็นไฟล์ที่มีขนาดใหญ่คุณอาจประสบกับปัญหาด้าน "ความเสถียร" ของสัญญาณอินเทอร์เน็ต ในบางครั้งที่สัญญาณอ่อนลงอาจทำให้ข้อมูลที่คุณดาวน์โหลดหรืออัปโหลดช้าลงกว่าที่ควรเป็น ซึ่งปัญหาดังกล่าวแทบจะไม่พบเลยเมื่อส่งข้อมูลผ่านสายเคเบิล
ยิ่งไปกว่านั้น หาก Apple ยอมเปลี่ยนไปใช้พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB-C บนมาตรฐาน USB 3 จะช่วยให้การขนส่งข้อมูลเป็นไปได้อย่างรวดเร็วขึ้นเมื่อเทียบกับพอร์ต Lightning ที่ยังคงอยู่บนมาตรฐาน USB 2 และยังให้ความเสถียรมากกว่าการส่งข้อมูลแบบไร้สายอีกด้วย
การใช้งานร่วมกับอุปกรณ์แบบมีสาย
แม้ Apple จะมีอุปกรณ์ไร้สายอย่าง AirPods หูฟังแบบไร้สายที่ใช้งานได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แต่การเชื่อมต่อแบบไร้สายนี้จะทำให้เกิดความล่าช้าในการส่งข้อมูล หรือที่เรียกว่า "ดีเลย์" (Delay) แม้จะเป็นความล่าช้าที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที แต่สำหรับการใช้งานแบบจริงจังนั้นความล่าช้าเช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ได้
ซึ่งวิธีการที่จะช่วยลดความล่าช้าในการส่งข้อมูลนี้ คือ การเชื่อมต่อผ่านสายเคเบิล ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการอัดเสียงร้องไปพร้อมกับดนตรี หูฟังแบบไร้สายจะทำให้เสียงร้องที่ออกมาช้ากว่าที่ควรเป็น เนื่องจากเกิดความล่าช้าในระหว่างการรับส่งข้อมูลระหว่างสมาร์ตโฟนและไมโครโฟนที่หูฟัง เป็นต้น
นอกจากนี้ ในกรณีที่แบตเตอรี่ของหูฟังไร้สายหมด คุณอาจจะไม่สามารถฟังเพลงได้แม้ว่า iPhone ของคุณจะมีแบตเตอรี่เต็ม 100% ซึ่งถ้าหากเป็นหูฟังแบบมีสายคุณคงจะไม่เจอปัญหาเช่นนี้
iPhone ไร้สายไม่ได้มีแต่ข้อเสีย
ประเด็นที่กล่าวไว้ข้างต้นดูเหมือนว่าจะมีแต่ข้อเสียของการเปลี่ยนไปใช้การเชื่อมต่อแบบไร้สาย ทั้งนี้ การถอดพอร์ตเชื่อมต่อออกไปจากตัวเครื่องสมาร์ตโฟนก็ยังมีข้อดีอยู่ด้วยเช่นกัน ประการแรก คุณจะได้สมาร์ตโฟนที่มีความบางมากขึ้น เนื่องจากไม่ต้องเผื่อพื้นที่ไว้ในพอร์ตเชื่อมต่อ อีกทั้งยังสามารถอัดเซนเซอร์หรือเพิ่มลำโพงลงไปในเครื่องก็ยังได้
ประการถัดมา คือ ช่วยเสริมสร้างความทนทานแก่สมาร์ตโฟน เพราะพอร์ตเชื่อมต่อถือเป็นหนึ่งจุดที่ทำให้สมาร์ตโฟนเสี่ยงต่อการเกิดน้ำรั่วซึมและฝุ่นเข้าไปภายในตัวเครื่อง การออกแบบสมาร์ตโฟนแบบไร้สายจะช่วยกลบปิดจุดบกพร่องนี้และกลายเป็นสมาร์ตโฟนแบบไร้รอยต่อที่แท้จริงได้ในที่สุด
และประการสำคัญ คือ สมาร์ตโฟนแบบไร้สาย (โดยเฉพาะ iPhone) จะช่วยผลักดันให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่อำนวยความสะดวกแก่อุปกรณ์ไร้สายมากขึ้น แม้การที่ Apple เก็บพอร์ต Lightning ไว้ใช้อย่างเนิ่นนานจะทำให้ผู้ใช้จำนวนมากบ่นอุบว่ามันเป็นเทคโนโลยีที่เก่ากึกและย่ำอยู่กับที่ แต่เมื่อถูกเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีไร้สายแล้ว Apple ก็จะกลายเป็นหนึ่งในผู้ที่ช่วยผลักดันเทคโนโลยีไร้สายได้เป็นอย่างดี
ยกตัวอย่างเช่น กรณีของการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายนั้น จริง ๆ แล้วไม่ได้มีแค่เพียงการชาร์จผ่านแป้นจ่ายกระแสไฟเหมือน MagSafe เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการคิดค้นการชาร์จไร้สายผ่านสัญญาณไวไฟอยู่ด้วย นั่นหมายความว่า สมาร์ตโฟนจะได้รับการชาร์จแบตเตอรี่อยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่พื้นที่นั้นมีสัญญาณไวไฟ
แต่เทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ผ่านสัญญาณไวไฟนั้น ยังไม่ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายและมีความเร็วในการชาร์จที่ต่ำ เชื่อว่าหาก Apple นำมาประยุกต์ใช้กับ iPhone รุ่นใหม่ ๆ ก็จะช่วยผลักดันให้เกิดมาตรฐานการชาร์จแบตเตอรี่แบบใหม่ขึ้นด้วย
ไม่ว่า Apple จะเปลี่ยนไปใช้พอร์ต USB-C ใน iPhone 15 หรือ iPhone รุ่นถัด ๆ ไปหรือไม่ แต่มีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตเราอาจจะได้เห็น iPhone แบบไร้สายที่ไม่มีพอร์ตเชื่อมต่อใด ๆ ออกมาให้เราได้เห็นกันอย่างแน่นอน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก CNET