“คลัง” เตรียมแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.5 แสนล้าน ปัดฝุ่นโครงการเร่งด่วน

กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มีงบประมาณเพียงพอสำหรับให้รัฐบาลชุดใหม่ได้ทำนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเร่งด่วน โดยมีงบทั้งสิ้น 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งโครงการแรกๆที่จะดำเนินการคือ โครงการคนละครึ่ง ซึ่งเคยใช้ได้ผลในสมัยรัฐบาลประยุทธ์ ใช่วงที่เศรษฐกิจไทยเผชิญผลกระทบจากการปิดประเทศ จากการแพร่ระบาดของโควิด รวมถึงโครงการลดหย่อนภาษีเพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย ซึ่งงบประมาณที่จะนำมาใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะเร่งด่วนมีรวมๆ แล้วกว่า 1.5 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็น งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจที่โยกเข้าไปใช้งบกลางฉุกเฉิน ปี 2568 ซึ่งยังเหลืออยู่ 2.6 หมื่นล้านบาท โดยจะต้องรีบใช้ภายในวันที่ 30 ก.ย. 2568 นี้
และนอกจากนี้ยังมีงบประมาณที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจปี 2569 ที่เตรียมไว้อีกราว 2.5 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะเริ่มใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2568 รวมถึงหากมีความจำเป็น ก็สามารถใช้งบกลางสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นปี 2569 ที่เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี โดยมีวงเงินงบกลางอีก 9 หมื่น ถึง 1 แสนล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาใช้ในบางส่วนได้
สำหรับแนวทางโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากนี้ เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้มีระยะเวลาทำงานที่สั้น ดังนั้นการทำโครงการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรเป็นโครงการที่เคยทำมาแล้วและประสบความสำเร็จในอดีต ซึ่งนอกจากโครงการคนละครึ่งแล้ว ก็อาจมีโครงการช้อปดีมีคืน หรืออีซี อีรีซีฟท์ ที่กระตุ้นให้คนใช้จ่าย และนำรายจ่ายมาลดหย่อนภาษีได้จำนวนหนึ่ง
ส่วนโครงการคนละครึ่งเฟสใหม่ที่จะเกิดขึ้น หากจะให้มี Impact ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง จะต้องมีขนาดของโครงการที่มากกว่า 5 หมื่นล้านบาท คือรัฐบาลใช้งบช่วยเหลือ 5 หมื่นล้าน และอีกส่วนประชาชนจะใช้จ่ายเองอีก 5 หมื่นล้าน ส่งผลให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามเรื่องคนละครึ่งนี้จะต้องเป็นการตัดสินของรัฐบาลชุดใหม่ ว่าจะใช้วงเงินเท่าไร รวมถึงรายละเอียดวงเงิน จำนวนคนด้วย
ทั้งนี้ที่ผ่านมาโครงการคนละครึ่ง ได้ถูกนำมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วจำนวนรวม 5 ครั้ง วงเงินงบประมาณที่ใช้ 2.08 แสนล้านบาท เริ่มตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปี 2565 โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ คนไทยที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีจำนวนคนเข้าร่วมโครงการราว 30 ล้านคน
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมากระทรวงการคลัง เคยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายมาตรการ นอกเหนือจากโครงการคนละครึ่ง และ easy e-receipt ยังมีอีกหลายโครงการ เช่น โครงการ ชิม ช้อป ใช้ เพื่อพยุงการบริโภคภายในประเทศและกระจายรายได้ในต่างจังหวัด มีจำนวนคนเข้าร่วมโครงการ 11.8 ล้านคนวงเงินงบประมาณ 2.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งโครงการนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ Digital Literacy และcashless Society
โครงการเราไม่ทิ้งกัน เพื่อเยียวยาผลกระทบจากโควิด โดยแจกเงินให้ประชาชนอาชีพอิสระ เดือนละ5000 บาท เป็นเวลา 3 เดือนรวม 1.5 หมื่นบาท/คน จำนวนคนที่ได้รับประโยชน์ 15.3 ล้านคน ใช้งบประมาณ 2.3 แสนล้านบาท
โครงการเราชนะ เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพควบคู่กับการสร้างรายได้ให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด โดยประชาชนจะได้รับเงินคนละ 7,400 บาทถึง 9,000 บาท มีจำนวนคนที่ได้รับสิทธิ 32.8 ล้านคนวงเงินที่ใช้ 2.7 แสนล้านบาท
โครงการ ยิ่งใช้ ยิ่งได้ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อสำหรับคนที่ไม่ได้เลือกใช้โครงการคนละครึ่ง และไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยผู้เข้าร่วมโครงการ และมีการใช้จ่าย จะได้รับเงินคืนจากรัฐในรูป e-Voucher วงเงินสูงสุดไม่เกิน 7 พันบาทคน มีคนเข้านร่วมโครงการเพียง 9.2 หมื่นคน วงเงินงบประมาณ 4.2 พันล้านบาท เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีโครงการการลดค่าไฟเป็นนโยบายของรัฐบาลนายอนุทิน โดยว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกำลังพิจารณาแนวทางดำเนินการ เเละคาดการณ์ว่าค่าไฟจะลดลงอย่างน้อย 4 สตางค์ต่อหน่วย โดยจะเริ่มในงวดแรกของปี 2569 (มกราคม-เมษายน) รวมถึงมาตรการอสังหาริมทรัพย์เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อที่อยู่อาศัย รวมถึงลดหย่อนเก็บภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง ไม่น้อยกว่า 50% จนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
