รีเซต

หนี้ "SMEs-ครัวเรือน" จุดเปราะบาง ระบบการเงินไทย

หนี้ "SMEs-ครัวเรือน" จุดเปราะบาง  ระบบการเงินไทย
TNN ช่อง16
12 มกราคม 2564 ( 10:40 )
176
หนี้ "SMEs-ครัวเรือน" จุดเปราะบาง  ระบบการเงินไทย

ภายหลังการผ่อนคลาย มาตรการปิดเมืองและรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและการท่องเที่ยวในประเทศ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง หลังจากหดตัวลึกสุดในไตรมาสที่ 2 ปี 2563 แต่คาดกันว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปีนับจากจุดที่เศรษฐกิจไทยหดตัวลึกสุด กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมจึงจะกลับสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 เนื่องจากประเทศไทยยังจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศจนกว่าจะมีการได้รับวัคซีนอย่างแพร่หลาย ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงปลายปี 2564 

ดังนั้นในช่วงเวลาก่อนที่เศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัว ถือเป็นความท้าทายของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรง ปัญหานี้จะส่งต่อถึงระดับความสามารถการชำระหนี้ของภาคธุรกิจ และครัวเรือนอย่างไร  และจะส่งผ่านไปถึงระบบการเงินไทย จนกลายเป็นความเสี่ยงของระบบการเงินไทยหรือไม่  โดยเฉพาะสถาบันการเงิน  จะยังมีความแข็งแกร่งรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน  เศรษฐกิจอินไซต์จะเจาะลึกประเด็นนี้กัน 


จากรายงานการประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทย 2563 ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ในระยะต่อไป “ระบบการเงินไทย” ต้องเผชิญความท้าทายสำคัญจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤตโควิด-19 ที่ยังต้องใช้เวลาและมีความไม่แน่นอน โดยมีจุดเปราะบางสำคัญ คือ ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ซึ่งอาจส่งผ่านความเสี่ยงไปยังภาคส่วนอื่นในระบบการเงินได้ โดยเฉพาะผ่านทางคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลงของระบบสถาบันการเงิน 


เนื่องจาก ข้อมูลของธปท. พบว่าภาวะเศรษฐกิจที่กำลังค่อยๆ ฟื้นตัวจากจุดที่ต่ำสุดมาแล้วนั้น  ในแต่ละภาคธุรกิจมีการฟื้นตัว "ไม่เท่ากัน"  บางธุรกิจสามารถฟื้นตัวกลับมาใกล้ระดับเดียวกันกับช่วงก่อนโควิด-19 แล้ว เช่น ธุรกิจเครื่องดื่ม ธุรกิจปิโตรเลียม และธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่ธุรกิจในภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่แม้อุปสงค์ในประเทศจะปรับเพิ่มขึ้นบ้าง โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและธุรกิจสายการบินที่การฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ยังอยู่เพียงร้อยละ 28 และ 44 ของช่วงก่อนโควิด-19 ตามลำดับ 

ติดตามรายละเอียดเพิ่มได้ที่..รายการ "เศรษฐกิจ Insight" วันอังคารที่ 12 มกราคม 2564

ทั้งนี้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจในบางภาคธุรกิจอาจไม่ฟื้นตัวกลับไปในระดับเดิมก่อนโควิด-19 เนื่องจากบางภาคธุรกิจมีปัญหาเชิงโครงสร้างตั้งแต่ก่อนโควิด-19 เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีอุปทานส่วนเกิน (oversupply)  เป็นต้น  รวมถึงโควิด-19 ส่งผลให้บริบทของธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งก่อให้เกิดปัญหา excess capacity เพิ่มขึ้น ภายใต้ new normal เช่น ธุรกิจโรงแรมอาจต้องปรับตัวรองรับอุปสงค์ที่ต่ำลง ภาคธุรกิจที่ประสบปัญหาเหล่านี้จึงจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดได้ในระยะสั้น ควบคู่กับการปรับรูปแบบธุรกิจให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปในระยะยาว 

นอกจากนี้ การฟื้นตัวยังขึ้นกับ “ขนาดของธุรกิจ” โดยผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งส่วนใหญ่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อพยุงธุรกิจมีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเมื่อเทียบกับธุรกิจขนาดใหญ่ รวมทั้งสถาบันการเงิน มีแนวโน้มระมัดระวังความเสี่ยงและชะลอการปล่อยสินเชื่อให้แก่ SMEs ในช่วงที่สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอน ซึ่งอาจส่งผลให้SMEs ที่มีศักยภาพแต่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมไม่ได้รับโอกาสในการฟื้นตัว หรือฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่ควรจะเป็น


อย่างไรก็ดี  ธปท. ได้ประเมินความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของ SMEs ในระยะ 2 ปีข้างหน้า (2564-2565) พบว่า ร้อยละ 22 ของ SMEs ที่มีสินเชื่อกับสถาบันการเงินมีโอกาสที่จะประสบปัญหาสภาพคล่องไม่เพียงพอรองรับภาระหนี้และค่าใช้จ่ายในระยะ 2 ปีข้างหน้า  

โดย SMEs ที่ขาดสภาพคล่องส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรงโดยตรงจากโควิด19 ได้แก่ ธุรกิจขนส่งผู้โดยสารและธุรกิจโรงแรม และในภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการชะลอตัวของอุปสงค์ ทั้งในและต่างประเทศตามรายได้ของครัวเรือนที่ลดลง เช่น  ธุรกิจยานยนต์และชิ้นส่วน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจการค้า สำหรับธุรกิจการค้า แม้จะมีสัดส่วนผู้ได้รับผลกระทบไม่สูงนักแต่มีบริษัทที่ประสบปัญหาสภาพคล่องเป็นจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ จึงถือเป็นภาคธุรกิจที่อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง

ทั้งนี้ ตั้งแต่ช่วงหลังปี 2563 แต่ละภาคธุรกิจจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป  แต่ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบสูงจะใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่า โดยคาดว่าในปี 2565 จะยังไม่ฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนโควิด-19 อย่างไรก็ดี ข้อมูลล่าสุดพบว่าหลายภาคธุรกิจมีการฟื้นตัวที่ดีกว่าคาด โดยเฉพาะภาคยานยนต์ 

แต่ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาคือ ธุรกิจที่ประสบปัญหาสภาพคล่องมักจะมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นด้วย หากไม่ได้รับการแก้ไขหรือช่วยเหลืออย่างทันทวงที



ขณะที่ในส่วนของ “ภาคครัวเรือนไทย” พบว่าแนวโน้มจะมี “หนี้เพิ่มมากขึ้น”  โดยข้อมูล “หนี้ครัวเรือน” หรือเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนของสถาบันการเงินต่างๆ ที่ธปท. รายงานล่าสุดในไตรมาส 3/2563 สะท้อนว่า หนี้ครัวเรือนของไทยยังคงอยู่ในระดับสูง และมีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนในไตรมาส 3/2563 ทำสถิติสูงสุดในรอบ 18 ปีครั้งใหม่ที่ 86.6% ต่อจีดีพี  

ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทยจะขยับขึ้นไปยืนเหนือระดับ 90% ต่อจีดีพีในช่วงสิ้นปี 2563 นี้ และมีโอกาสเร่งขึ้นต่อในปี 2564  แต่ะที่ระดับ 91.0% ต่อจีดีพี หรืออาจสูงกว่านั้น  หากความเสี่ยงของการระบาดรอบใหม่ของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเนื่องทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ล่าช้ากว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ 


นอกจากนี้หากดูหนี้ครัวเรือนของไทยเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคก็พบว่า หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ระดับสูงกว่าประเทศในภูมิภาค เป็นรองเฉพาะเกาหลีใต้ และฮ่องกง เท่านั้น และสูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่มีสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีเฉลี่ยอยู่ที่ 45.2%


ดังนั้น ภาคครัวเรือนซึ่งมีหนี้ในระดับสูงอยู่เดิมยิ่งมีความ “เปราะบาง” ทางการเงินเพิ่มขึ้น ผ่านการจ้างงานที่ปรับลดลงและการปรับ ลดชั่วโมงทำงานของภาคธุรกิจ ส่งผลให้รายได้ ของภาคครัวเรือนปรับลดลงอย่างฉับพลัน   โดยภายหลังคลายมาตรการปิดเมืองหลาย ภาคธุรกิจทยอยฟื้นตัวและกลับมาจ้างงานเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 แต่หลายภาคธุรกิจที่ฟื้นตัวได้น้อย เช่น ธุรกิจที่พักโรงแรมยังปรับลดการจ้างงานลงต่อเนื่อง (ในกราฟฟิก)  ซึ่งธุรกิจดังกล่าวมีสัดส่วนของลูกจ้างรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน สูงถึงร้อยละ77 ซึ่งลูกจ้างกลุ่มนี้ถือเป็นครัวเรือนกลุ่มเสี่ยงที่มีความสามารถในการรองรับความผันผวนทาง เศรษฐกิจ (buffer) ต่ำและอาจมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้สูงขึ้น  


ปัญหาหนี้ครัวเรือนและSMEs ที่มีความเสี่ยงจะผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้น หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทั่วถึงและรวดเร็ว  นับเป็นจุดเปราะบางที่สำคัญจะส่งผ่านความเสี่ยงต่อระบบการเงินไทยเพิ่มขึ้น ในแง่คุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์  

โดยทำให้คุณภาพสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์กลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอล เพิ่มขึ้น  จากข้อมูลล่าสุดเอ็นพีแอลของระบบสถาบันการเงินในไตรมาส3/2563 อยู่ที่ 3.14% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจาก 3.05% ในไตรมาส1/2563 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว

นอกจากคุณภาพสินเชื่อที่มีแนวโน้มแย่ลงแล้ว รายได้ของธนาคารพาณิชย์ก็มีแนวโน้มลดลงด้วย  โดยอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์  หรือ Return On Assets  :ROA ของระบบธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นไตรมาส ที่ 3 ปี 2563 ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 0.52 จาก ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ที่ ร้อยละ 1.03 


อย่างไรก็ดี ในสถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ธปท.ได้ประเมินความเพียงพอของเงินกองทุนเพื่อเตรียมแนวทางรองรับความเสี่ยงที่อาจเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า โดยใน ปี 2563  ได้จัดทำการทดสอบภาวะวิกฤต(stress test) ทั้งโดยหน่วยงานกำกับดูแล และโดยธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง  ภายใต้กรณีเลวร้าย (adverse scenario) ซึ่งมีข้อสมมติให้เศรษฐกิจไทยหดตัวรุนแรงในระดับ “สองหลัก” จากการระบาดระลอกใหม่ และมีการใช้มาตรการปิดเมืองในต่างประเทศ (เส้นสีแดง) พบว่า  BIS ratio ของระบบธนาคารพาณิชย์ยังอยู่ในระดับที่เพียงพอรองรับภาวะวิกฤต

ทั้งนี้  ข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2563 มีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BISratio) ที่ร้อยละ 19.8  และอัตราส่วนเงินสำรองที่มีต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL coverageratio) ที่ร้อยละ 149.7  
แม้ผลทดสอบภาวะวิกฤตของธปท. จะสะท้อนฐานะที่แข็งแกร่งของธนาคารพาณิชย์   แต่มองไประยะข้างหน้าอย่างน้อย 2 ปีกว่าเศรษฐกิจกลับมาสู่ระดับก่อนโควิด-19  ธนาคารพาณิชย์ต้องเผชิญความไม่แน่นอนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ  ความต่อเนื่องของมาตรการภาครัฐในการดูแลเศรษฐกิจ และปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้SMEs  ที่อาจเป็น "ระเบิดเวลา" ของระบบการเงินไทย 

ดังนั้น ภาครัฐอาจมีความจำเป็นต้องออกมาตรการเร่งด่วน เพื่อบรรเทาหรือช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางก่อน เพื่อดูแลไม่ให้ปัญหาลุกลามในวงกว้าง เพราะ หากไม่มีมาตรการออกมาดูแลปัญหานี้อย่างจริงจัง อาจลุกลามบานปลายกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อระบบการเงินได้ในที่สุด 

ติดตามรายละเอียดเพิ่มได้ที่..รายการ "เศรษฐกิจ Insight" วันอังคารที่ 12 มกราคม 2564



เกาะติดข่าวที่นี่

website: www.TNNTHAILAND.com
facebook : TNNONLINE
facebook live : TNN Live
twitter : TNNONLINE
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNONLINE
Instagram : TNN_ONLINE
TIKTOK : @TNNONLINE


ข่าวที่เกี่ยวข้อง