ราคาน้ำมัน -2% OPEC ลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมัน NVDA +3% AVGO -2%
#หุ้นต่างประเทศ #ทันหุ้น – บทวิเคราะห์ โดย บล.เอเซีย พลัส
ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดร่วง 2% วานนี้ หลัง OPEC ปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในปีนี้และปีหน้ามาอยู่ที่ 1.9 ล้านบาร์เรล/วัน (vs. เดิม 2.0 ล้านฯ) และ 1.6 ล้านบาร์เรล/วัน (vs. เดิม 1.7 ล้านฯ) ในปี 2024-25F ตามลำดับ
ด้านการแถลงข่าวของทางการจีนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (12 ต.ค.) มีประเด็นที่สำคัญดังนี้
1) ให้การสนับสนุนเงินทุนแก่รัฐบาลท้องถิ่น (Local govt) ในการบริหารจัดการหนี้สินซึ่งได้รับผลกระทบจากรายได้ภาษีตามยอดขายที่ดินที่ลดลงจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์
2) อนุญาตให้รัฐบาลท้องถิ่นสามารถใช้เงินทุนจากพันธบัตรพิเศษเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์คงค้างในตลาด (Unsold homes) แล้วนำมาเปลี่ยนเป็นที่อยู่อาศัยที่ภาครัฐอุดหนุน (Subsidized housing)
3) รัฐบาลกลาง (Central govt) ยังมีความสามารถในการก่อหนี้และเพิ่มการขาดดุลการคลัง แต่ไม่ได้มีการระบุตัวเลขอ้างอิง
4) การสนับสนุนเงินทุนให้แก่ธนาคารของรัฐผ่านการออกพันธบัตรพิเศษ เพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินการตามมาตรภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ล่าสุดธนาคาร Industrial and Commercial Bank of China, Agricultural Bank of China, Bank of China และ China Construction Bank ระบุว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านของลูกค้าปัจจุบันตามนโยบายที่ได้มีการประกาศก่อนหน้านี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค. นี้ และ
5) มาตรการช่วยเหลือการบริโภคให้แก่ครัวเรือนรายได้น้อย/ นักศึกษา ล่าสุดดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน ก.ย. ที่รายงานออกมาในวันนี้ (13 ต.ค.) ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด (0.4% YoY vs. คาด 0.6%) สะท้อนความอ่อนแออย่างต่อเนื่องของกำลังซื้อของครัวเรือน
นอกจากนี้ ทางการจีนยังเชื่อมั่นว่าจะบรรลุเป้าหมาย GDP ในปีนี้ที่ราว 5% ได้ ทั้งนี้จากค่ากลาง Bloomberg consensus ล่าสุด หลังได้มีการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไปเมื่อช่วงปลายเดือน ก.ย. พบว่ายังไม่เห็นการปรับประมาณการ GDP อย่างมีนัยยะ กล่าวคือ คาดการณ์ GDP ใน 4Q24F ถูกปรับขึ้นเพียงเล็กน้อย +0.01% มาอยู่ที่ 4.6% (vs. ก่อน ประกาศมาตรการที่ 4.59%) และใน 1Q25F อยู่ที่ 4.1% (vs. ก่อนประกาศมาตรการที่ 4.3%) ดังนั้น ตลาดคาด GDP ในปี 2024F จะโต 4.8% (ประมาณการด้านต่ำคาด 3.9%) และปีหน้าโต 4.4% (ประมาณการด้านต่ำ คาด 3.7%) ซึ่งหากอิงจากการคำนวณของเราภายใต้ตัวเลขดังกล่าว พบว่าทางการจีนอาจต้องอัดฉีดเม็ดเงินราว 1.3 -3.4 ล้านล้านหยวน (1.1-2.7% ของ GDP) ให้เข้าสู่ภาคเศรษฐกิจจริง เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย GDP ขณะที่ตลาดคาดหวังเม็ดเงิน ราว 2 ล้านล้านหยวนก่อนการแถลงข่าวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
ฝ่ายกลยุทธ์ยังมีมุมมองเป็นกลางจากการแถลงข่าวครั้งนี้ เนื่องจากยังขาดรายละเอียดที่ชัดเจน ทั้งในมิติเม็ดเงินและเวลาที่จะดำเนินการ อีกทั้งเม็ดเงินสนับสนุนรัฐบาลท้องถิ่นบางส่วนจะมาจากการใช้โควต้าของพันธบัตรพิเศษ (Special bonds) ที่เหลืออยู่ราว 2.3 ล้านล้านหยวนในไตรมาสสี่ ซึ่งไม่ใช่เม็ดเงินใหม่ ดังนั้น ยังต้องติดตามรายละเอียดของมาตรการที่ชัดเจนเพิ่มเติมซึ่งอาจเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือน ต.ค. ที่ปกติจะมีการประชุมของ National People Congress (NPC)
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นจีนปรับร่วงลงระหว่างการซื้อขายเมื่อวันจันทร์ก่อนจะปิดตลาดแบบผสม โดยดัชนี HSI -0.7% ขณะที่ดัชนี CSI300 +1.9%
สัปดาห์นี้ติดตาม : สหรัฐฯ Retail Sales เดือน ก.ย. (คาด +0.3% MoM vs. เดือนก่อน +0.1%) ส่วนยุโรป Industrial Production เดือน ส.ค. (คาด +1.8% MoM vs. เดือนก่อน -0.3%), CPI เดือน ก.ย. (คาด -0.1% MoM vs. เดือนก่อน - 0.1%) และผลประชุม ECB ซึ่งตลาดคาดลดอัตราดอกเบี้ย 25bps ด้านญี่ปุ่น Exports(คาด +0.8% YoY vs. +5.5% เดือน ก่อน) และ CPI (คาด +2.5% YoY vs. เดือนก่อน +3.0%) เดือน ก.ย. ขณะที่จีนจะมีรายงาน GDP ไตรมาสสาม (คาด +4.5% YoY vs. +4.7% เดือนก่อน) และตัวเลขสำคัญเดือน ก.ย. อาทิ Industrial Production (+4.6% YoY vs. +4.5% เดือนก่อน) Retail Sales (+2.5% YoY vs. +2.1% เดือนก่อน) และ Fixed Assets ex Rural (+3.3% YTD vs. +3.4% เดือนก่อน) ด้านตัวเลขส่งออกที่รายงานวานนี้ขยายตัว 2.4% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 6.0%
นอกจากนี้ จะมีรายงานผลประกอบการของกลุ่มธนาคารอาทิ Citi, BofA และ Goldman Sachs (17 ต.ค.) และ Morgan Stanley (18 ต.ค.) รวมถึงงบกลุ่มอื่นๆ อาทิ ASML และ Tesla (18 ต.ค.) และ TSMC (19 ต.ค.)
JPMorgan รายงานกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ที่ $4.37 ดีกว่าคาดที่ $4.01 หรือสูงกว่าคาด +8.99% ขณะที่ Wells Fargo เผย EPS สูงกว่าคาด +18.41% ที่ $1.52 เทียบกับตลาดคาดที่ $1.28
ตลาดสหรัฐฯ หุ้นในกลุ่ม "Auto Chip" ปรับตัวขึ้น นำโดย Wolfspeed (WOLF US) +20.84%, Analog Devices +0.94%, ON Semiconductor (ON US) +0.03% อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ได้ปรับลดมุมมองต่อหุ้นในกลุ่มนี้โดยระบุว่าอุตสาหกรรมกำลังเข้าสู่ช่วงของการชะลอตัว เนื่องจากปัจจัยหลักสามประการ ได้แก่ 1) การลดสต็อกสินค้าคงคลัง 2) แรงกดดันด้านราคา และ 3) ยอดขายรถยนต์ที่ชะลอตัว
- นักวิเคราะห์ได้ปรับลดคาดการณ์มูลค่าตลาด "Auto Chip" ปี 2024 จาก $7.80 หมื่นล้าน เหลือ $7.53 หมื่นล้าน ซึ่งคิดเป็นการลดลง 3% เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่าจะไม่มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในปี 2025สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวสำหรับอุตสาหกรรมนี้
STOCK HIGHLIGHT
Nike (NKE US) ปรับตัวขึ้น 0.06% หลังนักวิเคราะห์จาก Piper Sandler ยังคงมุมมอง Hold พร้อมคงราคาเป้าหมายที่ $80เนื่องจากมองว่าการฟื้นตัวของรายได้อาจช้ากว่าที่ตลาดคาดหวังไว้ โดยคาดว่าปีบัญชี 2025 จะเป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่าน และราคาหุ้นอาจเคลื่อนไหวในกรอบแคบ
.
Broadcom (AVGO US) ปรับตัวลง 2.27% ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Bank of America ได้ยืนยันมุมมองเชิงบวกต่อบริษัทและได้เพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นมาอยู่ที่ $215 หลังจากการประชุมกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัท
- นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ารายได้ที่เกี่ยวข้องกับ AI จะมีสัดส่วนถึง 24% ของยอดขายทั้งหมดในปีบัญชี 2024 คิดเป็นมูลค่า $1.20 หมื่นล้าน โดย TAM สำหรับ Broadcom คาดว่าจะมีมูลค่าระหว่าง $1-1.25 แสนล้าน โดยส่วนใหญ่มาจาก custom chip สำหรับลูกค้า hyperscaler
- Broadcom มีจุดแข็งในด้านเครือข่าย (networking) สำหรับ AI ซึ่งคาดว่าจะเติบโตจาก 15-20% เป็น 20-25% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า นักวิเคราะห์อธิบายว่า "การเชื่อมต่อ XPU ช่วยให้ Broadcom ได้ส่วนแบ่งตลาดที่ใหญ่ขึ้น" นอกจากนี้ บริษัทยังกำลังพัฒนาเทคโนโลยี co-packaged optics แม้ว่าการนำมาใช้จริงอาจต้องใช้เวลาอีก 2 -3 ปี
- นอกเหนือจาก AI แล้ว นักวิเคราะห์ยังให้ความสำคัญกับธุรกิจซอฟต์แวร์ของ Broadcom โดยเฉพาะ VMWare ซึ่ งกำลังเปลี่ยนไปสู่โมเดลแบบสมาชิก (subscription model) ซึ่งคาดว่า VMWare จะมีส่วนสำคัญในการเติบโตระยะยาวของ Broadcom โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 5-10%
.
Walmart (WMT US) ปรับตัวขึ้น 0.62% หลังนักวิเคราะห์จาก Bank of America ยังคงคำแนะนำที่ Buy แต่ได้มีการปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นจาก $85 มาอยู่ที่ $95 หลังจากการเยี่ยมชม Supercenter ที่ Charlotte และการพูดคุยกับผู้บริหาร
-นักวิเคราะห์ยังคงมั่นใจในความสามารถของบริษัทในการนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพและความสะดวกให้กับลูกค้า รวมถึงการดึงดูดผู้บริโภคจากหลากหลายระดับรายได้ ความแข็งแกร่งในธุรกิจค้าปลีกอาหารยังคงเป็นจุดเด่น โดย Walmart ยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันด้านราคาได้ดี
- การขยายตัวของสินค้าแบรนด์ของตนเอง โดยเฉพาะแบรนด์ "Bettergoods" ที่นำเสนอสินค้าทันสมัยในราคาย่อมเยา ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ด้านราคาของบริษัท นอกจากนี้ ความสำเร็จในบริการ e-commerce โดยเฉพาะด้านการจัดส่งสินค้าและระบบ "Pick-Up 2.0" ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคำสั่งซื้อ
-Walmart ยังแสดงให้เห็นถึงความพร้อมสำหรับเทศกาลวันหยุด โดยเริ่มจัดโปรโมชั่นเร็วกว่าปีก่อน เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม สำหรับสมาชิก Walmart+ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการรักษาฐานลูกค้าและดึงดูดผู้บริโภคใหม่
.
Nvidia (NVDA US) ปรับตัวขึ้น 3.29% หลังนักวิเคราะห์จาก TD Cowen คงคำแนะนำ Buy และราคาเป้าหมายที่ $165โดยนักวิเคราะห์เชื่อวาความต้องการชิป Hopper ของ NVIDIA จะยังคงแข็งแกร่ง
- นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์ผลประกอบการของ NVIDIA สำหรับปีบัญชี 2026ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองที่เป็นบวกต่อการเติบโตในอนาคตของบริษัท
.
VF Corp.(VFC US) ปรับตัวลง 3.69% หลังปรับลดคำแนะนำลงจาก Equal weight มาอยู่ที่ Underweight และยังปรับลดคำแนะนำลงจาก $16 มาอยู่ที่ $15 เนื่องจากมองว่าบริษัทจะมีการฟื้นที่ช้ากว่าที่คาด
- นักวิเคราะห์เตือนวาการฟื้นตัวของ Vans อาจใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้ โดยชี้ให้เห็นว่าความสนใจของผู้บริโภคกำลังถึงจุดสูงสุด พร้อมกับการลดราคาที่เพิ่มขึ้นและมูลค่าธุรกรรมที่ต่ำลง ซึ่งบ่งชี้ถึงแรงกดดันด้านราคา นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับ The North Face โดยเฉพาะในภูมิภาคAsia Pacific ซึ่งเป็นภูมิภาคที่สำคัญสำหรับการเติบโตของแบรนด์ แต่สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในจีนอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตในภูมิภาคนี้