Hybrid:The Future of Investing โลกแห่งอนาคต สู่ โอกาสการลงทุน
โลกทุกวันนี้ขับเคลื่อนด้วยอุตสาหกรรมเทคโนโลยี จนทำให้กลุ่มเทคโนโลยีกลายมาเป็นผู้นำในตลาดหุ้น เรียกได้ว่าเป็นเมกะเทรนด์เเห่งการลงทุนในปัจจุบัน เเต่การลงทุนหุ้นเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ธุรกิจ หาแนวโน้มการเติบโต และประเมินมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีที่ใครต่อใครก็บ่นอุบว่า “แสนแพง” แพงแค่ไหนถ้ามีกำไรก็ต้องลงทุน แต่กลยุทธ์การลงทุนจะเป็นอย่างไร ไปติดตามกับคุณมนต์ชัย กันค่ะ
การยึดติดอยู่กับเทคโนโลยีแบบเดิม วิธีการแบบเดิมๆ ที่เคยทำให้ประสบความสำเร็จในอดีต ไม่ปรับตัวเปลี่ยนตามโลกที่หมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ วันหนึ่งธุรกิจที่เคยรุ่งเรืองในอดีตก็จะไม่สามารถก้าวทันกับพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปได้
หลายๆแบรนด์ดังในปัจจุบันจำเป็นต้องยื่นล้มละลาย ไม่ว่าจะทิวส์เดย์ มอร์นิง , Muji ผู้ค้าปลีกสินค้าในสหรัฐฯ , Brook Brothers แบรนด์แฟชั่นดังอายุกว่า 200 ปี จากเมืองแมนฮัตตัน
สินค้าในโลกยุค Next Normal ซึ่งจะเป็นทางรอดของธุรกิจและเป็นโอกาสลงทุนของนักลงทุน เราจะได้เห็นวิสัยทัศน์ของบริษัท ที่นำเอา Story มาผสมผสานกับเทคโนโลยีเพื่อประดิษฐ์นวัตนกรรมใหม่ออกสู่ตลาด
โตโยต้า หลังเสียแชมป์ผู้ผลิตรถยนต์มูลค่าสูงสุดในโลกให้กับเทสล่า ปีที่แล้วได้ประกาศร่วมมือกับ Amazon Web Services, Inc. (AWS) ซึ่งเป็น บริษัท ในเครือ Amazon. com และลงทุนกว่า 400 ล้านเหรียญ ในบริษัท Pony.ai ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาเทคโนโลยีจากประเทศจีน มีเป้าหมายเพื่อที่จะพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ
ต้นเดือนที่ผ่านมา(1 ก.พ.63) Ford ประกาศความร่วมมือกับ Google เพื่อพัฒนา Connected Car รถยนต์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ความร่วมมือจะเริ่มในปี 2023 โดยจะฝังระบบปฏิบัติการ แอปพลิเคชั่นต่างๆ ของ Google ในรถยนต์ของ Ford และนำระบบ AI มาใช้งาน เพื่อพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า, รถยนต์ไร้คนขับ
ล่าสุด 3 ก.พ. ข่าวจากเว็ปไซด์ Bloomberg (อ้างอิง DongA Ilbo หนังสือพิมพ์ในเกาหลีใต้) รายงานว่า Apple มีแผนลงทุนร่วมกับ KIA Motors Factor บริษัทลูกของ Hyundai เพื่อผลิต Apple Car รถยนต์ไฟฟ้าอัตโนมัติ ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวปี 2024 โดยจะมีการลงนามร่วมกันวันที่ 17 ก.พ.นี้ ข่าวว่าจะใช้ Kia Motors Factor ในจอร์เจียร์ สหรัฐอเมริกา เป็นฐานการผลิต
ก่อนหน้านี้ โวคสวาเก้น ก็ประกาศความร่วมมือกับ ไมโครซอฟท์ ไปแล้วในการพัฒนาระบบคลาวด์ยานยนต์
ฝั่งตี๋ใหญ่จีน เมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา อาลีบาบา ประกาศร่วมมือกับบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ในจีน เอสเอไอซี มอเตอร์ เปิดตัวผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ IM ที่ย่อมาIntelligence in Motion หรือแปลว่า อัฉริยะแห่งการเคลื่อนไหว โดยอาลีบาบาถือหุ้นบริษัท 54% ขณะที่อีกสองบริษัทถือหุ้นบริษัทละ 18%
รถซีดานรุ่นไอเอ็มจะมีแบตเตอรี่โซลิดสเตต จากบริษัท “คอนเทมโพรารี่ แอมเพเร็กซ์ เทคโนโลยี” บริษัทผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่สุดของจีน โดยแบตเตอรี่จะสามารถจุพลังงานได้มากกว่ารถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป และนำเช้าชิปจากบริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์สหรัฐ “อินวิเดีย” นอกจากนี้รถจะสามารถจอดได้ด้วยตัวเอง และมีฟังก์ชั่นเหมือนสมาร์ตโฟนอย่างถ่ายรูปหรือเล่นโซเชียลมีเดียได้
จี๋ลี่ ออโตโมบิล โฮลดิง ผู้ผลิตยานยนต์สัญชาติจีน ประกาศร่วมมือกับไป่ตู้ (Baidu) ยักษ์ใหญ่วงการอินเทอร์เน็ตจีน จัดตั้งบริษัทยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ
ทั้งสองบริษัทจะทำงานร่วมกันเพื่อเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมไปสู่ระบบดิจิทัล ทั้งในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการวิจัย การผลิต การตลาด การดำเนินงานของผู้ใช้ และบริการหลังการขาย รวมถึงการรวมแอปพลิเคชันโทรศัพท์มือถือเข้ากับบริการมัลติมีเดียบนยานพาหนะ ตลอดจนสำรวจโอกาสด้านการขนส่งอัจฉริยะ
ทัง เต้าเซิง รองประธานบริหารอาวุโสของเทนเซ็นต์กล่าวว่า "เทนเซ็นต์จะช่วยจีลี่ผลักดันการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบดิจิทัล การพัฒนาที่ยั่งยืน และการพัฒนาไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ" พร้อมเสริมว่าทั้ง 2 บริษัทจะร่วมมือกันฝึกอบรมผู้มีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีขั้นสูง
อัน ชงฮุ่ย ประธานจีลี่ โฮลดิ้ง กรุ๊ป และซีอีโอของจีลี่ ออโต้ กรุ๊ปกล่าวว่า จีลี่เตรียมจะปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ด้วยการยกระดับห่วงโซ่อุตสาหกรรมด้วยระบบดิจิทัล
ทั้งนี้ ในปี 2563 จีลี่และเทนเซ็นต์ได้ร่วมมือกันเป็นครั้งแรกเพื่อพัฒนาบริการดิจิทัลของรถไฟความเร็วสูง ร่วมกับบริษัทไชน่า เรลเวย์ส อินเวสต์เมนต์ จะเห็นว่าบริษัทนวัตกรรมใหญ่ๆอย่าง Apple,Alphabet,Amazon,Microsoft ,Alibaba,Baidu ร่วมมือกับค่ายรถยนต์ใหญ่เพื่อผลิตยานยนต์แห่งโลกอนาคต
ต่อไปนี้เราจะเห็นความร่วมมือกันมากขึ้นระหว่างกลุ่มบริษัทที่มีเทคโนโลยีชั้นสูง ร่วมมือกับ กลุ่มผู้ผลิตสินค้ายักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอื่นๆ เพื่อพัฒนาสินค้าวัตนกรรมใหม่ๆออกสู่ตลาด นั้นหมายถึง เพดานในการเติบโตของกลุ่มธุรกิจนั้นจะปรับเพิ่มสูงมากขึ้นด้วย
หากพิจารณาจากข้อมูลในอดีตจะพบว่าหุ้นกลุ่ม Cyclical เช่น Industrial, Materials, Financials, Energy ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในช่วงการฟื้นตัวจากวิกฤต แต่ทั้งนี้เราคาดว่าเป็นกระแสการสลับกลุ่มเล่นเพียงในระยะสั้นเท่านั้น เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกแห่งอนาคตจะถูกขับเคลื่อนด้วย Technology และ Healthcare เป็นหลักและจะสามารถสร้างผลตอบแทนแบบก้าวกระโดดได้ในระยะยาวอย่างแน่นอน ดังนั้น เราจึงแนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Cyclical ในระยะสั้นโดยต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด และลงทุนในหุ้น Growth ควบคู่กันในสัดส่วนที่สูงกว่าในระยะยาวประมาณ 3 ปี ขึ้นไป
สำหรับโอกาสในการลงทุน เราจะเน้นลงทุนในกองทุนที่มีลักษณะเป็น Long Term Growth Investment ลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เน้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นบริษัทที่มีคุณภาพสูง โดยให้ความสำคัญกับบริษัทที่มั่นคง เพื่อเพิ่มโอกาศในการลงทุน และเลือกหุ้นกลุ่มนี้ได้ดีขึ้นเพื่อผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น
เพื่อเพิ่มโอกาศในการลงทุน และเลือกหุ้นกลุ่มนี้ได้ดีขึ้นเพื่อผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น....วันนี้ร่วมคุยกับ วุฒิชัย กมลสันติสุขผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ Head of Retail Product and Marketing ผ่านรายการ เศรษฐกิจInsight 8 ก.พ.64https://www.youtube.com/watch?v=GcbQ25G83zo