รีเซต

ใครได้-ใครเสีย “ทรัมป์” สกัดนำเข้าคนเก่ง

ใครได้-ใครเสีย “ทรัมป์” สกัดนำเข้าคนเก่ง
TNN ช่อง16
26 กันยายน 2568 ( 10:56 )

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้านโยบายจำกัดการเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมาย เพื่อไม่ให้แย่งงานชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในวาระหลักนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม ล่าสุด เพิ่งลงนามคำสั่งเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่าแรงงานต่างชาติทักษะสูงที่เรียกว่า H-1B อยู่ที่ 100,000 ดอลลาร์ เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน ซึ่งเป็นการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมราว 50 เท่า จากเดิมที่เก็บอยู่ราว 2,000-5,000 ดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับขนาดของบริษัท ตามข้อมูลของสำนักงานกฎหมาย Immigration Law Group มาตรการดังกล่าวจะกระทบต่อโครงการดึงดูดแรงงานหัวกะทิเข้าไปทำงานในสหรัฐฯ ที่ใช้มาอย่างยาวนาน เพื่อให้นายจ้างสามารถจ้างผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติที่มีทักษะเฉพาะทางเป็นการชั่วคราว โดยเฉพาะในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) 

ค่าธรรมเนียมวีซ่าดังกล่าวจะบังคับใช้กับผู้สมัครวีซ่า H-1B รายใหม่ ไม่ใช่ผู้ที่ต่ออายุวีซ่าหรือผู้ถือวีซ่าอยู่แล้วในปัจจุบัน และเป็นการเก็บค่าธรรมเนียมเพียงครั้งเดียว ไม่ใช่การเก็บรายปี ซึ่งปกตินายจ้างจะเป็นผู้รับภาระ ทั้งนี้ วีซ่า H-1B มีโควตาปีละ 65,000 คน และจัดสรรเพิ่มเติมอีก 20,000 คน สำหรับผู้เรียนจบปริญญาโทขึ้นไปในสหรัฐฯ ซึ่งวีซ่านี้จะอนุญาตให้ทำงานได้ครั้งละ 3 ปี และต่ออายุได้อีก 3 ปี ถือเป็นการเติมช่องว่างด้านบุคลากรและรักษาความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ “อีลอน มัสก์” ผู้บริหาร “เทสลา” และ “สเปซเอ็กซ์” ที่เกิดในแอฟริกาใต้และได้สัญชาติอเมริกันก็เคยถือวีซ่า H-1B

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการเงินของสหรัฐฯ ซึ่งต้องพึ่งพาแรงงานทักษะสูงจากต่างชาติ ทั้งนี้ ราว 2 ใน 3 ของแรงงานที่ได้รับวีซ่า H-1B ทำงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและสัญชาติของสหรัฐฯ (U.S. Citizenship and Immigration Services-USCIS) ระบุว่า ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีงบการเงิน 2568 ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายนปีนี้ ยักษ์อี-คอมเมิร์ซ “แอมะซอน” มีจำนวนพนักงานที่ได้รับวีซ่า H-1B ราว 10,044 คน ตามด้วยอันดับ 2-4 มีจำนวนกว่า 5,000 คน ได้แก่ “ทาทา คอนซัลแทนซี เซอร์วิสเซส” 5,505 คน, “ไมโครซอฟท์” 5,189 คน, “เมตา แพลตฟอร์มส์” 5,123 คน สำหรับอันดับ 5-6 ได้แก่ “แอปเปิล” 4,202 คน และ “กูเกิล” 4,181 คน ส่วนอันดับ 7-12 อยู่ที่แห่งละกว่า 2,000 คน 

ค่าธรรมเนียมวีซ่าที่สูงขึ้นจะทำให้บริษัทในสหรัฐฯ มีต้นทุนเพิ่มขึ้น และลดส่วนต่างกำไรลง จากการต้องพึ่งพาแรงงานทักษะสูงจากประเทศอื่น ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการแรงงานในประเทศที่เพิ่มขึ้น บริษัทที่ปรึกษา “เจฟเฟอรีส์” (Jefferies) ประเมินว่า การขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทราวร้อยละ 4-13 ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ต่างก็เผชิญการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะการแข่งขันในระดับโลกเกี่ยวกับการพัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ชั้นนำหลายแห่ง อาทิ “เมตา” ทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในการจ้างบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้าน AI 

น่าสังเกตว่า บริษัทสตาร์ตอัปในสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบชัดเจนที่สุดจากการขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่าครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านไอที การดูแลสุขภาพ และวิศวกรรม เพราะสตาร์ตอัปเผชิญความยากลำบากอยู่แล้วจากการแย่งชิงโควตาในแต่ละปีที่มีจำกัด และในฐานะธุรกิจที่เพิ่งเริ่มตั้งไข่ การต้องจ่ายค่าวีซ่าให้พนักงานสูงขึ้นก็ส่งผลกระทบต่อการจ้างคนเก่งต่างชาติ เนื่องจากไม่มีทรัพยากรมากพอจะแข่งขันกับบริษัทขนาดใหญ่ได้ แต่การจะหันไปจ้างแรงงานท้องถิ่น ก็เผชิญปัญหาบุคลากรทักษะสูงไม่เพียงพอต่อความต้องการ นอกจากนี้ มีผลสำรวจในปี 2563 พบว่า สตาร์ตอัปที่จ้างพนักงานต่างชาติผ่านวีซ่า H-1B มีโอกาสมากขึ้นที่จะได้รับเงินทุนจากภายนอก การจดทะเบียนในตลาดหุ้น หรือมีบริษัทอื่นสนใจซื้อกิจการ และสามารถสร้างนวัตกรรมที่น่าสนใจ


เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมการเงินที่พึ่งพาแรงงานหัวกะทิจากต่างชาติอย่างมาก รองจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ข้อมูลของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและสัญชาติของสหรัฐฯ ระบุว่า ในปี 2568 บริษัทการเงินชั้นนำ 10 แห่งของสหรัฐฯ ได้รับอนุมัติวีซ่า H-1B สำหรับแรงงานต่างชาติประมาณ 12,000 คน โดยบริษัทที่มีจำนวนพนักงานกลุ่มนี้มากสุด คือ “เจพี มอร์แกน เชส” 2,440 คน ตามด้วย “ดีลอยต์” 2,353 คน, เอินส์ท แอนด์ ยัง (EY) 1,695 คน และ “โกลด์แมน แซคส์” 1,125 คน ส่วนในอันดับ 5-10 มีจำนวนพนักงานที่ได้รับวีซ่าหลักร้อยคน ได้แก่ แคปิตอล วัน, ซิตี้แบงก์, วีซ่า, อเมริกัน เอ็กซ์เพรส, ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส (PwC) และแบงก์ ออฟ อเมริกา  

  

นักวิเคราะห์บางรายมองว่า บริษัทด้านการเงินจะได้รับผลกระทบจากการแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้นมากกว่าบริษัทเทคโนโลยีที่มีผลกำไรทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้จะลดทอนผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยี หมายความว่าการที่สถาบันการเงินจะจ้างพนักงานระดับเริ่มต้น อาทิ ตำแหน่งนักวิเคราะห์น้องใหม่ จะมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป อย่างกรณีของพนักงานที่ถือวีซ่า H-1B ของ “เจพี มอร์แกน” ซึ่งมีทั้งหมด 2,440 คน ได้รายได้เฉลี่ยปีละ 160,567 ดอลลาร์ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทำให้บรรดานายจ้างต้องประเมินผลกระทบและทางเลือกต่าง ๆ ในการจ้างงานหัวกะทิจากต่างชาติ

เมื่อพิจารณาในแง่พื้นที่การจ้างงานแรงงานหัวกะทิต่างชาติที่จะเผชิญผลกระทบจากต้นทุนวีซ่า H-1B ที่เพิ่มขึ้น รัฐแคลิฟอร์เนียมาเป็นอับดับแรก โดยครองแชมป์ในการยื่นขอวีซ่าประเภทนี้มากสุดมาตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบัน เนื่องจากเป็นที่ตั้งของ “ซิลิคอน วัลเลย์” แหล่งรวมบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐฯ จำนวนมาก อาทิ อินวิเดีย (Nvidia) และแอปเปิล เจ้าของแบรนด์ไอโฟน ซึ่งในปีนี้รัฐแคลิฟอร์เนียมีแรงงานได้รับวีซ่า H-1B มากถึง 62,864 คน ตามด้วยรัฐเท็กซัสที่ดึงดูดบริษัทต่าง ๆ ด้วยนโยบายภาษีในอัตราที่ต่ำ บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งมีสำนักงานใหญ่ในรัฐนี้ รวมถึงออราเคิลและเทสลา รัฐนิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์อยู่ในลำดับถัดไป เพราะเป็นที่ตั้งของตลาดหุ้นและสถาบันการเงินชั้นนำหลายแห่ง

ข้อมูลระบุว่า แรงงานทักษะสูงจากอินเดียและจีนเป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบมากสุดจากมาตรการขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่าครั้งนี้ โดยในปี 2567 อินเดียมีสัดส่วนแรงงานที่ได้รับวีซ่า H-1B คิดเป็นเกือบร้อยละ 71 ของผู้รับวีซ่าทั้งหมด ตามด้วยหัวกะทิจากจีนที่มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 11.7 เมื่อแยกรายอุตสาหกรรม พบว่า งานด้านคอมพิวเตอร์มากกว่าร้อยละ 80 เป็นของแรงงานชาวอินเดีย ส่วนในแวดวงการแพทย์ มีชาวอินเดียได้รับอนุมัติวีซ่า H-1B มากกว่า 8,200 คน ในปี 2566 ทำงานในโรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์ ซึ่งแพทย์ชาวอินเดียคิดเป็นเกือบร้อยละ 6 ของบุคลากรทางการแพทย์ในสหรัฐฯ 


แม้อินเดียจะไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B ได้ แต่สหรัฐฯ ก็หนีไม่พ้นผลกระทบเช่นกัน โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีที่แรงงานอินเดียมีส่วนผลักดันนวัตกรรมต่าง ๆ ขณะที่โรงพยาบาลในสหรัฐฯ ก็กำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนแพทย์ และมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ก็อาจดึงดูดนักศึกษาต่างชาติด้าน STEM ได้ยากขึ้น ซึ่งชาวอินเดียคิดเป็น 1 ใน 4 ของนักศึกษาต่างชาติในสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ข้อมูลพบว่า อินเดียเป็นประเทศที่มีแรงงานได้รับวีซ่า H-1B มากสุด 279,386 คน ในระหว่างเดือนตุลาคม ปี 2565-กันยายน ปี 2566 ตามด้วยจีน 45, 344 คน, ฟิลิปปินส์ 4,619 คน, แคนาดา 3,852 คน และเกาหลีใต้ 3,603 คน

แม้การนำเข้าแรงงานต่างชาติจะปลุกกระแสถกเถียงระหว่างการสนับสนุนตลาดงานกับการแย่งงานคนในท้องถิ่น แต่ในมุมมองด้านเศรษฐศาสตร์ ชี้ว่า การมีแรงงานต่างด้าวในสหรัฐฯ จะสร้างโอกาสงานใหม่ ๆ ในประเทศ 5 เรื่อง ได้แก่ 1.แรงงานอพยพและแรงงานท้องถิ่นมักมีทักษะแตกต่างกัน จึงช่วยเสริมซึ่งกันและกันแทนที่จะแข่งขันกัน 2.แรงงานอพยพใช้จ่ายและลงทุนในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มความต้องการบริโภคและสร้างงานใหม่ ๆ 3.ธุรกิจตอบสนองต่อการมีแรงงานอพยพและการบริโภคที่เพิ่มขึ้นด้วยการขยายธุรกิจในสหรัฐฯ แทนที่จะมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในต่างประเทศ 4.ผู้อพยพสร้างธุรกิจใหม่ ๆ บ่อยครั้ง ส่งผลให้ตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ขยายตัว และ 5.แนวคิดและนวัตกรรมที่พัฒนาโดยแรงงานต่างชาติเป็นแรงผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของแรงงานกลุ่ม H-1B ส่งผลให้อัตราการว่างงานค่อนข้างต่ำ 

นอกจากนี้ มีข้อมูลว่า ผู้ถือวีซ่า H-1B และครอบครัวมีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ประมาณ 8.6 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งรวมถึงการจ่ายภาษีเงินได้ให้รัฐบาลกลาง 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์ และภาษีของรัฐและท้องถิ่น 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ในการสกัดแรงงานหัวกะทิเข้าประเทศ อาจเปิดทางให้เขตเศรษฐกิจต่าง ๆ ฉวยจังหวะแย่งชิงคนเก่งไปร่วมงาน ซึ่งในอดีตไม่เคยสู้สหรัฐฯ ได้ในเรื่องนี้ ดังที่ “ชาร์ลส์-เฮนรี มอนเชา” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทุนของ “ซิส กรุ๊ป” (Syz Group) มองว่า นี่อาจเป็นโอกาสสำหรับอังกฤษ ยุโรป หรือศูนย์กลางอื่น ๆ อาทิ ดูไบ จีน และในที่สุดแล้วอาจส่งผลกระทบต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมของสหรัฐฯ

ขณะนี้หลายประเทศกำลังมองหาบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ STEM และอาจใช้จังหวะนี้ให้เป็นประโยชน์ อาทิ อังกฤษที่กำลังพิจารณาข้อเสนอยกเลิกค่าธรรมเนียมวีซ่าสำหรับแรงงานต่างชาติที่มีทักษะสูง เพื่อดึงดูดนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ รวมถึงนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่วนจีนก็เตรียมเปิดตัววีซ่า K ในวันที่ 1 ตุลาคม มีเป้าหมายเพื่อดึงดูดแรงงานทักษะสูงในสาขา STEM โดยอนุญาตให้ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกสามารถศึกษาและทำงานในจีนได้โดยไม่ต้องได้รับข้อเสนองานหรือตำแหน่งนักวิจัยก่อน ด้านรัฐบาลเกาหลีใต้กำลังเร่งหามาตรการดึงดูดนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรจากต่างประเทศแทนสหรัฐฯ เช่นเดียวกับแคนาดาที่พิจารณาโครงการวีซ่าที่เอื้อต่อการทำงานของแรงงานต่างชาติมากขึ้น

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง