นักวิจัยไม่เห็นด้วยที่พบไวรัสโควิด-19 ระบาดในอิตาลีก่อนจีน

วันนี้ (20 พ.ย. 63 )แม้จะมีรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายแรกอย่างเป็นทางการจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน แต่จนถึงเวลานี้ คำถามเรื่อง “ต้นกำเนิด” ที่แท้จริงของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ที่ทำให้คนติดเชื้อมากกว่า 56 ล้านคน และเสียชีวิตมากกว่า 1.2 ล้านคนทั่วโลก นั้น ยังคงเป็น ปริศนา
ล่าสุดมีงานวิจัยใหม่ที่พบว่า ไวรัสชนิดนี้ ระบาดในประเทศอิตาลีตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว หลายเดือนก่อนที่จะระบาดในประเทศจีน แต่นักวิจัยหลายคนยังไม่เห็นด้วยกับผลการวิจัยล่าสุดนี้
ดร. กาเบรียลลา ซอสซี นักวิจัยจากศูนย์มะเร็งแห่งชาติของมิลาน เปิดเผยว่า งานวิจัยดังกล่าวอาจเป็นการ “เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของการระบาดไปโดยสิ้นเชิง” โดยงานวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารทูโมรี หลังจากที่นักวิจัยได้นำผลเลือดจากผู้ป่วยมะเร็งปอดทั่วอิตาลี ตั้งแต่กันยายน 2019 กว่า 100 คนมาตรวจ และพบว่ามีแอนติบอดี้ของไวรัส Sars-CoV-2 ซึ่งก่อให้เกิดโรคโควิด-19
ซึ่งการตรวจพบดังกล่าวเป็นตัวบ่งชี้ว่า มีชาวอิตาลีติดเชื้อโควิด-19 ก่อนที่จะพบการติดเชื้อในเมืองอู่ฮั่นปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
ด้าน ดร.เบนจามิน นิวแมน นักไวรัสวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย เอแอนด์เอ็ม เท็กซาร์คานา (Texas A&M University-Texarkana) วิจารณ์ถึงประเด็นดังกล่าวว่า เป็นการเปิดเผยออกมาจากผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นสาขาเฉพาะทาง ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรคระบาดนี้เลย และไม่นับเป็นการวิจัยการระบาดของไวรัสโคโรนาแต่อย่างใด
ส่วน ดร.นาอิม มาตาสกี นักชีววิทยา แห่งมาหาวิทยาลัยแอริโซนา กล่าวผ่านทวิตเตอร์ว่า เป็นการวิจัยที่ไม่มีส่วนเชื่อมโยงใด ๆ กับโรคระบาด และเขาขอไม่ให้ความเชื่อมโยงกับโรคระบาด นี่เป็นงานวิจัยที่แย่มาก
ส่วน ดร.ฟิลิปเป เลมอยเน นักปรัชญาแห่งมหาวิทยาลัยคอร์แนล บอกว่า ยังไม่ได้อ่านงานวิจัยชิ้นนี้ แต่จะไม่ตัดสินใจซื้อมาอ่านเด็ดขาด และควรต้องมี “งานวิจัยหรือการศึกษด้านอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อยืนยันเรื่องนี้อีก”
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนระบุว่า การที่นักวิจัยอิตาลีระบุว่า มะเร็ง เกิดจากเซลล์ที่กลายพันธุ์ ซึ่งอาจกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้เช่นเดียวกับไวรัส จึงมีความเป็นไปได้ที่ร่างกายสร้างแอนติบอดี้ดังกล่าวขึ้นมา
ความพยายามติดตามหาต้นตอการระบาดของไวรัส จะเป็นการป้องกันการระบาดในอนาคต และเพื่อยุติการระบาดครั้งนี้ องค์การอนามัยโลก หรือ WHO พยายามอย่างยิ่งที่จะให้ทีมวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกทำงานร่วมกัน
เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNThailand.com
facebook : TNNThailand
facebook live : TNN Live
twitter : @TNNThailand
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNThailand
Instagram : @tnn_online
TIKTOK : @tnnonline