รีเซต

ส่องสเปก "ไอโฟน 12" และเหตุผลที่ไม่มี "อะแดปเตอร์แปลงไฟ" และ "หูฟัง" มาในกล่อง

ส่องสเปก "ไอโฟน 12" และเหตุผลที่ไม่มี "อะแดปเตอร์แปลงไฟ" และ "หูฟัง" มาในกล่อง
มติชน
14 ตุลาคม 2563 ( 10:09 )
1.7K
ส่องสเปก "ไอโฟน 12" และเหตุผลที่ไม่มี "อะแดปเตอร์แปลงไฟ" และ "หูฟัง" มาในกล่อง

พบกับ iPhone ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งมาพร้อมชิพ A14 Bionic อันทรงพลัง, ดีไซน์แบบใหม่หมดพร้อมด้วย Ceramic Shield, ระบบกล้องระดับโปร, สแกนเนอร์ LiDAR และจอภาพ Super Retina XDR ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน iPhone

 

Apple® ประกาศเปิดตัว iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ที่จะมอบประสบการณ์ 5G อันทรงพลัง พร้อมด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่จะยกระดับนวัตกรรมไปอีกขั้นสำหรับผู้ที่ต้องการประโยชน์สูงสุดจาก iPhone เริ่มจาก iPhone 12 Pro ซึ่งโดดเด่นด้วยดีไซน์ใหม่ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา, จอภาพ Super Retina® XDR แบบขอบจรดขอบ, ด้านหน้าเป็น Ceramic Shield แบบใหม่หมดที่จะช่วยปกป้องตัวเครื่อง เรียกได้ว่าเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ที่สุดในด้านความทนทานสำหรับ iPhone นอกจากนี้ยังมีชิพที่เร็วที่สุดในสมาร์ทโฟนอย่าง A14 Bionic ที่ออกแบบโดย Apple เป็นขุมพลังขับเคลื่อนคุณสมบัติด้านการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์อันน่าทึ่ง อย่าง Apple ProRAW แบบใหม่หมดที่ให้คุณควบคุมการสร้างสรรค์รูปภาพได้มากขึ้น และยังเป็นครั้งแรกที่จะได้สัมผัสประสบการณ์วิดีโอแบบ Dolby Vision สูงสุด 60 fps ตั้งแต่ต้นจนจบ ส่วนระบบกล้องโปรที่คิดขึ้นใหม่หมดนั้นมาพร้อมกล้องอัลตร้าไวด์ที่กว้างสุดๆ, กล้องเทเลโฟโต้ที่มีทางยาวโฟกัสสูงยิ่งขึ้นบน iPhone 12 Pro Max และกล้องไวด์ใหม่ที่สามารถเก็บบันทึกภาพและถ่ายวิดีโออันสวยงามด้วยคุณภาพระดับมืออาชีพ ทั้งในที่ที่สว่างจ้าและในสภาวะแสงน้อย ยิ่งกว่านั้น iPhone 12 Pro ยังมีสแกนเนอร์ LiDAR ใหม่ ซึ่งจะมอบประสบการณ์ความจริงเสริม (AR) ที่เต็มอิ่มสมจริง รวมถึง MagSafe ซึ่งมาพร้อมการชาร์จแบบไร้สายกำลังสูง และระบบนิเวศของอุปกรณ์เสริมแบบใหม่ที่ยึดติดกับ iPhone ได้ง่ายอีกด้วย

 

iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ในดีไซน์แบบสแตนเลสสตีลมีให้เลือก 4 สี ได้แก่สีกราไฟต์ เงิน ทอง และแปซิฟิกบลู

“ครั้งนี้ถือเป็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดดสำหรับ iPhone ซึ่งจะนำประสบการณ์ 5G ที่ดีที่สุดในตลาดพร้อมด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำมาอยู่ในมือผู้ใช้ที่ต้องการประโยชน์สูงสุดจาก iPhone” Greg Joswiak รองประธานอาวุโสฝ่าย Worldwide Marketing ของ Apple กล่าว “iPhone แต่ละเจเนอเรชั่นได้เปลี่ยนความคาดหวังที่เรามีต่อสมาร์ทโฟน และวันนี้ iPhone 12 Pro ที่มาพร้อม 5G ก็เรียกได้ว่าเป็นเจเนอเรชั่นใหม่ในด้านประสิทธิภาพ นอกจากนี้การทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ก็เป็นหัวใจสำคัญสำหรับคุณสมบัติต่างๆ อันน่าทึ่งในด้านการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์ อย่างการนำโหมดกลางคืนมาอยู่ในกล้องตัวอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการรองรับการบันทึกวิดีโอ HDR ในแบบ Dolby Vision เป็นครั้งแรก และยังมีสแกนเนอร์ LiDAR สุดล้ำที่จะพาผู้ใช้ไปสัมผัสกับประสบการณ์ AR อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งยังช่วยเสริมการทำงานของกล้องให้ดียิ่งขึ้น อย่างการออโต้โฟกัสในสภาวะแสงน้อยที่เร็วขึ้น และการถ่ายภาพบุคคลในโหมดกลางคืนได้เป็นครั้งแรก ซึ่งจากประสบการณ์ทั้งหมดนี้และอีกมากมาย บอกเลยว่านี่คือกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา”

 

ประสบการณ์ 5G ที่เหนือชั้นยิ่งกว่า
iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max พร้อมมอบประสบการณ์ 5G อันล้ำสมัยครอบคลุมทั่วโลก ซึ่งเกิดขึ้นได้จากการผสานการทำงานของฮาร์ดแวร์ระดับโลกเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับซอฟต์แวร์ระดับโลก โดยจุดเด่นของ 5G บน iPhone มีตั้งแต่ความเร็วในการดาวน์โหลดและอัพโหลดที่สูงขึ้น การสตรีมวิดีโอที่มีคุณภาพสูงยิ่งขึ้น การเล่นเกมที่ลื่นไหลยิ่งขึ้น การโต้ตอบภายในแอพที่รวดเร็วทันใจ จนถึงการโทร FaceTime® ความละเอียดสูง และอีกมากมาย นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถเชื่อมต่อได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยจนไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับฮอตสปอต Wi-Fi สาธารณะบ่อยๆ อีกต่อไป

 

iPhone 12 Pro รองรับย่านความถี่ 5G มากที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟน จึงสามารถใช้งาน 5G ได้ครอบคลุมทั่วโลกมากที่สุด1 โดยรุ่นที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกานั้นรองรับความยาวคลื่นระดับมิลลิเมตร ซึ่งเป็น 5G ในความถี่ที่สูงกว่า ทำให้ iPhone 12 Pro สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 4Gbps แม้จะอยู่ในพื้นที่ที่มีผู้ใช้งานหนาแน่น นอกจากนี้ iPhone 12 Pro ยังมาพร้อมโหมด Smart Data ที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่อย่างชาญฉลาดโดยการประเมินความจำเป็นในการเชื่อมต่อ 5G และปรับการใช้งานข้อมูล ความเร็ว และพลังงานให้สมดุลในแบบเรียลไทม์

 

A14 Bionic ที่ทั้งทรงพลังและประหยัดพลังงาน
A14 Bionic ล้ำหน้าคู่แข่งไปหลายเจเนอเรชั่น และเป็นชิพแรกในวงการสมาร์ทโฟนที่สร้างขึ้นด้วยกระบวนการผลิตแบบ 5 นาโนเมตร นอกจากนี้ A14 Bionic ยังมาพร้อม CPU และ GPU ที่เร็วที่สุด ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าชิพที่เร็วที่สุดของสมาร์ทโฟนคู่แข่งถึง 50% เรียกว่าทั้งเร็วและประหยัดพลังงานยิ่งกว่าที่เคย จึงสามารถมอบประสบการณ์การเล่นเกมในระดับคอนโซล ประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์ได้อย่างทรงพลัง และอีกมากมาย โดยที่แบตเตอรี่ยังคงใช้งานได้ยาวนาน และ A14 Bionic ยังมี Neural Engine แบบ 16-core ที่จะยกระดับการเรียนรู้ของระบบหรือ Machine Learning (ML) ให้เหนือชั้นยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยประสิทธิภาพที่สูงขึ้น 80% และสามารถประมวลผลได้ถึง 11 ล้านล้านรายการต่อวินาที จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้แม้แต่โมเดล ML ที่สลับซับซ้อน

 

ดีไซน์ใหม่พร้อมด้วยเทคโนโลยีจอภาพสุดล้ำ
iPhone 12 Pro เลือกใช้วัสดุระดับพรีเมียมในการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ใหม่แบบขอบแบนที่สวยสะกดตา พร้อมด้วยแถบสแตนเลสสตีลอันสวยงามเกรดเดียวกับที่ใช้ทำเครื่องมือศัลยกรรม เข้าคู่กับด้านหลังแบบกระจกผิวด้านที่ตัดแต่งรูปทรงมาอย่างแม่นยำ และยังเป็นครั้งแรกที่มีการใช้ Ceramic Shield สุดแกร่ง โดยด้านหน้าแบบ Ceramic Shield นั้นมีความแข็งแรงยิ่งกว่ากระจกของสมาร์ทโฟนไหนๆ และล้ำหน้าไปไกลกว่ากระจก เพราะมีการนำผลึกเซรามิกระดับนาโนมาผสม ซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอีกมาก และสามารถทนต่อการตกกระแทกได้ดีขึ้น 4 เท่า2

 

iPhone 12 Pro ขนาด 6.1 นิ้ว และ iPhone 12 Pro Max ขนาด 6.7 นิ้ว3 มาพร้อมจอภาพ Super Retina XDR แบบขอบจรดขอบที่ใหญ่ขึ้นอย่างชัดเจนและมีขอบจอที่เล็กลง ทั้งหมดนี้ในขนาดที่คุ้นเคย พร้อมด้วยการจัดการสีสันแบบทั้งระบบเพื่อความถูกต้องแม่นยำของสีสันในระดับชั้นแนวหน้าของวงการ ส่วน iPhone 12 Pro Max มีจอภาพที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน iPhone และมีความละเอียดสูงที่สุดถึงเกือบ 3.5 ล้านพิกเซล เพื่อประสบการณ์การรับชมที่สมจริงน่าประทับใจ และจอภาพ OLED ในทั้งสองรุ่นนี้ยังถ่ายทอดวิดีโอ HDR ได้อย่างมีชีวิตชีวาด้วยความสว่างสูงสุดถึง 1,200 นิต

 

iPhone 12 Pro มีการป้องกันอยู่ในชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรมที่ระดับ IP68 จึงสามารถทนน้ำที่ระดับความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที และยังรับมือกับน้ำที่หกใส่ในชีวิตประจำวันได้ด้วย อย่างกาแฟหรือน้ำอัดลม4

 

ระบบกล้องระดับโปรอเนกประสงค์
วันนี้กล้องระดับโปรที่ดีที่สุดในโลกจะกลายเป็นเครื่องมือที่อเนกประสงค์ยิ่งขึ้นสำหรับผู้ชื่นชอบการถ่ายภาพและวิดีโอทุกระดับ เพราะมาพร้อมฮาร์ดแวร์กล้องสุดล้ำที่มีชิพ A14 Bionic เป็นขุมพลัง โดยเมื่อทำงานร่วมกับโปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพ (ISP) ใหม่แล้ว A14 Bionic ก็จะช่วยเพิ่มคุณภาพของภาพ และยกระดับความสามารถอันทรงพลังด้านการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์ในแบบที่กล้องเดิมๆ ทำไม่ได้ นอกจากนี้ iPhone 12 Pro ยังมาพร้อม Apple ProRAW ซึ่งจะมีให้ใช้งานภายในปีนี้5 โดยเป็นการนำการประมวลผลภาพแบบหลายเฟรมและการประมวลผลภาพถ่ายด้วยคอมพิวเตอร์ของ Apple มารวมเข้ากับความอเนกประสงค์ของรูปแบบ RAW ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมสีสัน รายละเอียด และช่วงไดนามิกได้อย่างเต็มที่ตามความคิดสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นบน iPhone หรือใช้แอพปรับแต่งภาพระดับมืออาชีพอื่นๆ

 

iPhone 12 Pro มาพร้อมกล้องไวด์ใหม่ที่มีชิ้นเลนส์ 7 ชิ้น พร้อมรูรับแสงขนาด ƒ/1.6 ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน iPhone จึงสามารถถ่ายภาพและวิดีโอในสภาวะแสงน้อยได้ดีขึ้น 27% และยังมีกล้องอัลตร้าไวด์ที่มีมุมในการมองกว้างถึง 120 องศา เหมาะสำหรับการเก็บภาพด้วยมุมมองที่กว้างขึ้นในที่แคบๆ หรือภาพทิวทัศน์แบบอลังการ รวมถึงกล้องเทเลโฟโต้ทางยาวโฟกัส 52 มม. ซึ่งเหมาะสำหรับการถ่ายภาพบุคคล ทั้งหมดนี้ทำให้ช่วงซูมแบบออปติคอลเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่า

 

iPhone 12 Pro Max ยกระดับประสบการณ์การใช้กล้องระดับโปรให้เหนือชั้นยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยกล้องไวด์ใหม่ที่มีรูรับแสงขนาด ƒ/1.6 พร้อมด้วยเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ขึ้น 47% และพิกเซลขนาด 1.7μm จึงสามารถถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยได้ดีขึ้นมากถึง 87% ทั้งยังมาพร้อมกล้องอัลตร้าไวด์ที่กว้างสุดๆ และกล้องเทเลโฟโต้ทางยาวโฟกัส 65 มม. ที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นจากการเข้าใกล้สิ่งที่จะถ่ายได้มากขึ้น และทำให้ภาพดูแน่นขึ้น ซึ่งเมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้ว ทำให้กล้องระบบนี้มีช่วงซูมแบบออปติคอลถึง 5 เท่า

 

โหมดกลางคืนที่ดียิ่งกว่าเดิมช่วยให้ภาพมีความสว่างสดใสยิ่งขึ้น และวันนี้มาอยู่บนกล้อง TrueDepth® และกล้องอัลตร้าไวด์แล้ว และยังมีไทม์แลปส์ในโหมดกลางคืนที่เปิดรับแสงได้นานขึ้น จึงสามารถถ่ายวิดีโอได้คมชัดยิ่งขึ้น สร้างเส้นแสงได้สวยขึ้น และถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยได้เนียนขึ้นด้วยเมื่อใช้ขาตั้ง ส่วน Deep Fusion ที่วันนี้ดีและเร็วยิ่งกว่าเดิมก็มาอยู่ในกล้องทุกตัว พร้อมด้วย HDR อัจฉริยะ 3 ที่จะช่วยให้ผู้ใช้ได้ภาพที่สวยงามสมจริงยิ่งขึ้นแม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน

 

iPhone 12 Pro ถ่ายวิดีโอที่มีคุณภาพสูงที่สุดในสมาร์ทโฟน และเป็นกล้องตัวแรกและอุปกรณ์ตัวเดียวในโลกที่สามารถมอบประสบการณ์ Dolby Vision ตั้งแต่ต้นจนจบด้วยการบันทึกแบบ HDR สูงสุด 60 fps พร้อมด้วยระบบป้องกันภาพสั่นไหวสำหรับวิดีโอที่ดียิ่งขึ้นเพื่อการสร้างสรรค์ผลงานระดับภาพยนตร์ นอกจากนี้ยังมีการปรับโทนสีแบบ Dolby Vision แบบสดๆ อย่างต่อเนื่องขณะตัดต่อ ไม่ว่าจะเป็นในแอพรูปภาพหรือ iMovie® และจะมีให้ใช้งานใน Final Cut Pro® X ภายในปีนี้ ส่วน Dolby Vision นั้นก็ใช้ประโยชน์จากจอภาพ Super Retina XDR เพื่อถ่ายทอดคอนทราสต์ในระดับที่น่าทึ่ง ทั้งในขณะบันทึกและเล่นวิดีโอ และผู้ใช้ยังสามารถแชร์วิดีโอด้วย AirPlay® ไปยังอุปกรณ์ภายนอกได้สูงสุดถึงระดับ 4K ในแบบ Dolby Vision6

 

AR ที่สมจริงและประสบการณ์สุดล้ำในการใช้งานกล้อง
วันนี้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโปรมาพร้อมสแกนเนอร์ LiDAR แบบใหม่หมด ซึ่งสามารถวัดระยะทางของแสง และใช้ข้อมูลความลึกระดับพิกเซลของฉากนั้น โดยเทคโนโลยีนี้สามารถมอบประสบการณ์ AR ที่สมจริงยิ่งขึ้นได้เร็วยิ่งกว่าเดิม และช่วยให้ออโต้โฟกัสทำงานในสภาวะแสงน้อยได้ดีขึ้นถึง 6 เท่า จึงมีความแม่นยำยิ่งขึ้น และยังลดระยะเวลาที่ใช้ในการบันทึกภาพและวิดีโอด้วย และการผนึกกำลังระหว่างฮาร์ดแวร์อันล้ำสมัยกับ Neural Engine ของ A14 Bionic ยังเป็นสิ่งที่ทำให้ภาพถ่ายบุคคลในโหมดกลางคืนพร้อมเอฟเฟ็กต์โบเก้อันสวยงามเป็นจริงได้อีกด้วย

 

MagSafe กับอุปกรณ์เสริมใหม่สุดล้ำ
MagSafe ยกระดับประสบการณ์ในการชาร์จแบบไร้สายให้ดียิ่งขึ้น มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และมาพร้อมระบบนิเวศของอุปกรณ์เสริมแบบยึดติดง่ายที่เข้าคู่กับ iPhone 12 Pro อย่างสวยงาม7 MagSafe มอบประสบการณ์การใช้งานที่ไม่เหมือนใครสำหรับ iPhone โดยมีชุดแม่เหล็กรอบขดลวดสำหรับการชาร์จแบบไร้สายที่ออกแบบมาอย่างลงตัวเพื่อให้ประกบได้พอดีและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเชื่อมต่อเข้ากับ iPhone อย่างสมบูรณ์แบบทุกครั้ง และที่ชาร์จ MagSafe ยังสามารถจ่ายไฟได้สูงสุดถึง 15 วัตต์อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ยังคงใช้งานกับอุปกรณ์เดิมที่รองรับ Qi ได้ โดยโซลูชั่นสำหรับการชาร์จนั้นมีทั้งที่ชาร์จ MagSafe และที่ชาร์จ MagSafe แบบคู่สำหรับใช้กับ iPhone และ Apple Watch รวมไปถึงเคสใหม่ทั้งแบบซิลิโคน แบบหนัง และแบบใส ซึ่งติดเข้ากับด้านหลังของ iPhone ได้อย่างง่ายดาย พร้อมด้วยเคสหนังแบบกระเป๋าสตางค์ นอกจากนี้ลูกค้ายังจะได้พบกับอุปกรณ์เสริม MagSafe ล้ำๆ อีกมากมายจากผู้ผลิตบริษัทอื่น

 

มาพร้อม iOS 14
iOS 14 มาพร้อมประสบการณ์การใช้งาน iPhone ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ พร้อมด้วยวิธีใหม่ๆ ในการปรับแต่งหน้าจอโฮม อย่างวิดเจ็ตที่ออกแบบขึ้นใหม่อย่างสวยงาม ซึ่งจะแสดงข้อมูลที่ใช่ในจังหวะที่ต้องการให้ผู้ใช้เหลือบมองได้ง่ายๆ และยังสามารถปักหมุดวิดเจ็ตขนาดต่างๆ ไว้บนหน้าจอโฮมหน้าใดก็ได้ อีกทั้งยังมีคลังแอพ ซึ่งเป็นพื้นที่ใหม่ที่จะจัดระเบียบแอพทั้งหมดของผู้ใช้รวมอยู่ในหน้าจอเดียวที่เรียบง่ายและเลือกใช้ได้สะดวกโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ iOS 14 ยังมีแอพคลิป ซึ่งเป็นวิธีใหม่ในการค้นพบและใช้งานแอพ รวมถึงการอัพเดทอันทรงพลังในแอพข้อความที่จะช่วยให้ต่อติดกับทุกเรื่องอยู่เสมอ หรือจะออกสำรวจเมืองด้วยวิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้นโดยใช้แอพแผนที่ก็ได้ แล้วยังอุ่นใจด้วยคุณสมบัติด้านความเป็นส่วนตัวที่ดียิ่งขึ้นทั้งในด้านความโปร่งใสและการควบคุม8

 

ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
วันนี้การดำเนินงานของ Apple ทั่วโลกมีความเป็นกลางทางคาร์บอน และภายในปี 2030 เราวางแผนที่จะลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากธุรกิจทั้งหมดของเราให้เป็นศูนย์ ซึ่งรวมถึงซัพพลายเชนด้านการผลิตและวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดด้วย ซึ่งหมายความว่าอุปกรณ์ Apple ทุกชิ้นที่จำหน่าย ตั้งแต่การรวบรวมวัสดุ การผลิตชิ้นส่วน การประกอบ การขนส่ง การใช้งานของลูกค้า การชาร์จ ไปจนถึงการรีไซเคิลและการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ จะมีความเป็นกลางทางคาร์บอน 100% และในการออกแบบ iPhone 12 Pro นั้น เราก็คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ โดย iPhone 12 Pro จะเป็นรุ่นแรกที่ใช้แร่โลหะหายากที่มาจากการรีไซเคิล 100% ในแม่เหล็กทุกชิ้น ซึ่งรวมถึงกล้องใหม่, Taptic Engine® และ MagSafe รวมถึงอุปกรณ์เสริม MagSafe ของ Apple ด้วย นอกจากนี้ Apple ยังนำอะแดปเตอร์แปลงไฟและ EarPods® ออกจากบรรจุภัณฑ์ของ iPhone ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้มากยิ่งขึ้น รวมถึงหลีกเลี่ยงการทำเหมืองแร่และการใช้วัสดุมีค่า จึงทำให้บรรจุภัณฑ์มีขนาดเล็กลงและเบาลง และสามารถเพิ่มจำนวนกล่องที่จัดส่งต่อหนึ่งพาเลทได้มากขึ้นถึง 70% ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนต่อปีได้ถึง 2 ล้านตันต่อปี หรือเทียบเท่ากับการนำรถยนต์ออกจากท้องถนน 450,000 คันในแต่ละปี

 

ราคา 
iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max จะมีให้เลือกระหว่างรุ่นความจุ 128GB, 256GB และ 512GB ในสีกราไฟต์ เงิน ทอง และแปซิฟิกบลู ราคาดังนี้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง