รีเซต

กูรูเตือนระวัง "ทองคำ" ผันผวน แนวโน้มไปต่อหรือพอแค่นี้! ทองแท่งมีโอกาสทะลุ 70,000 บาทหรือไม่

กูรูเตือนระวัง "ทองคำ" ผันผวน แนวโน้มไปต่อหรือพอแค่นี้! ทองแท่งมีโอกาสทะลุ 70,000 บาทหรือไม่
TNN ช่อง16
11 ตุลาคม 2568 ( 11:20 )
14

ราคาทองคำพุ่งไม่หยุด ! ทุบสถิติใหม่เป็นประวัติการณ์ โดยราคาทอง Gold Spot ทะยานขึ้นมาแตะที่ระดับ 4,059 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองแท่ง 96.5% ทะลุ  62,350 บาท ทองรูปพรรณแตะ  63,150 บาท ค่าเงินบาทอยู่ที่ 32.54 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ    

แรงหนุนจากการปิดทำการของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (government shutdown) ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.จวบจนถึงปัจจุบัน ทำให้การเผยแพร่ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญหลายชุดต้องเลื่อนออกไป นักลงทุน ต้องใช้ข้อมูลจากแหล่งเอกชนเพื่อประเมินทิศทางและจังหวะการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดแทน โดยตลาดคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนต.ค. และอาจลดเพิ่มอีก 0.25% ในเดือนธ.ค.นี้ 

นอกจากนี้ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น  ผสมโรงความปั่นป่วนทางการเมืองในฝรั่งเศสและญี่ปุ่นยังเป็นแรงส่งให้เกิดการเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับแนวโน้มราคาทองคำจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร จะไปต่อหรือไม่ หลังจากที่ทำนิวไฮรอบใหม่ ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และมีปัจจัยอะไรที่จะต้องเกาะติดกันบ้าง ในวันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ

เริ่มจาก "วรุต รุ่งขํา" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด ฉายภาพให้ฟังว่า   ราคาทองคำที่ดีดปรับตัวขึ้นร้อนแรงที่ผ่านมาเกิดจากปัจจัยลบในต่างประเทศ โดยเฉพาะสถานการณ์ government shutdown ในสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อ ข้าราชการยังไม่ได้รับเงินเดือน ประกอบกับการตึงเครียดในรัสเซียและยูเครนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา  ซึ่งทั้ง 2 ประเทศให้อาวุธทำลายล้างสูงออกมาต่อสู้กัน โดยกองกำลังป้องกันยูเครน เปิดฉากโจมตีครั้งใหญ่ และ ตลาดมองว่าการที่ยูเครนมีขีปนาวุธที่ตอบโต้รัสเซียนั้น สหรัฐฯ และยุโรปอาจแอบส่งขีปนาวุธให้ยูเครน 

นอกจากนี้วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง "โกลด์แมนแซคส์" ได้ปรับการคาดการณ์ราคาทองคำในปีหน้าอยู่ที่ 4,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากเดิมอยู่ที่ 4,300   ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เนื่องจากธนาคารกลางจีนยังเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง โดยเดือนก.ย.ได้เข้าซื้อเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน ขณะที่การถือครองกองทุน ETF ของชาวตะวันตกจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากคาดว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลงอีกในกลางปี 69 

ขณะที่ ธนาคาร UBS คาดการณ์ราคาทองคำ จะไปถึงระดับ 4,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์  ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มจากมุมมองก่อนหน้าที่คาดว่าจะอยู่ที่  3,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์  ภายในสิ้นปี 2568 และ 3,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์  ภายในกลางปี 2569  มาจากธนาคารกลางซื้อทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น  และ  ความต้องการในกองทุนทองคำ ETF  มากขึ้น ความไม่สมดุลทางการคลัง จากปัญหาด้านงบประมาณ และหนี้สินของรัฐบาลในหลายประเทศยังคงสร้างแรงกดดัน และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ท่ามกลางความตึงเครียดทั่วโลกยังคงผลักดันให้นักลงทุนต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย

ขณะเดียวกันการเมืองในฝรั่งเศสปั่นป่วน หลัง “เซบาสเตียน เลอคอร์นู” นายกรัฐมนตรีประกาศลาออก ทำให้ขาดเสถียรภาพทางการเมือง ส่วนหนี้สาธารณะของฝรั่งเศสพุ่งสูง โดยในช่วงสิ้นไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 3.3 ล้านล้านยูโร หรือคิดเป็นประมาณ  114 % ของจีดีพี ซึ่งเป็นอัตราส่วนหนี้สิน สูงเป็นอันดับ 3 ในกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร รองจากกรีซและอิตาลีซึ่งประเทศฝรั่งเศสมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของยุโรป ถ้ามีปัญหาจะลามไปยังหลายประเทศในยุโรป  

 


แม้ว่าราคาทองคำปรับขึ้นไปร้อนแรงก็มีแรงขายทำกำไรออกมา หลังจากกลุ่มฮามาสและอิสราเอล บรรลุข้อตกลงการหยุดยิงราคาร่วงลงไปถึง 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ 


นอกจากนี้ในรายงานการประชุมของเฟด หรือ Fed minutes  ยังพบว่าเจ้าหน้าที่เฟดบางคนต้องการให้ลดดอกเบี้ย เพราะตลาดแรงงานอ่อนแอ แต่บางคนกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งเป็นการเปิดทางไว้ว่าถ้าเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงอาจจะไม่ลดดอกเบี้ยอาจทำให้ทองคำปรับตัวลง

 ขณะที่ "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐชวดรางวัล 'โนเบลสันติภาพ' ซึ่งจะต้องจับตาดูว่าจากนี้ไปว่า “ทรัมป์” จะมีปฎิกิริยาอย่างไร และอยากได้รางวัลนี้ในปีต่อไปหรือไม่ เพราะ "ทรัมป์" ต้องการเป็นทูตสันติภาพให้สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนคลี่คลาย

นอกจากนี้เงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่า จากความผันผวนการ เมืองในญี่ปุ่น หลังการเลือกหัวหน้าพรรค เสรีประชา ธิปไตย (LDP)  โดย “ซานาเอะ ทาคาอิจิ” คาดว่า ได้รับเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และจะต้องจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ แต่เกิดปัญหา เนื่องจากพรรคโคเมอิโตะของญี่ปุ่นประกาศถอนตัวออกจากรัฐบาล และจะไม่สนับสนุน “ทาคาอิจิ” ในการโหวตนายกฯ ที่คาดว่าจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้


ส่วนราคาทองคำในสัปดาห์หน้าคาดว่าผันผวน  โดยปัจจัยที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด คือ government shutdown    ถ้าคลี่คลายลงและพรรคเดโมแครต และรีพับลิกันตกลงได้ราคาทองจะปรับตัวลง โดยในวันที่ 15 ต.ค.นี้ มีสว.ที่จะได้รับเงินเดือน ดังนั้นตลาดคาดว่าร่างงบประมาณจะผ่านสภาฯ อนุมัติการใช้จ่ายและเงินเดือนให้กับข้าราชการ

ขณะเดียวกันวันที่ 13 ต.ค. เป็น วันโคลัมบัส ซึ่งเป็นวันหยุดรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ แต่ตลาดหุ้นและตลาดทองคำในสหรัฐฯ ยังมีการซื้อขายปกติ ส่วนในไทยเป็นวันหยุดเช่นกันทำให้การซื้อขายเบาบาง 

นอกจากนี้เป็นช่วงการประกาศงบไตรมาส 3/68 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ   คาดงบของธนาคารโกลด์แมน แซคส์ ธนาคารเจพีมอร์แกน   ธนาคารซิตี้กรุ๊ป   และธนาคารเวลส์ ฟาร์โก มีกำไรและรายได้เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้หุ้นแบงก์ดีดปรับตัวขึ้นและทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าหนุน้ภาพรวมตลาดหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปรับขึ้นต่อ ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันทองคำ


สำหรับราคาทองคำแม้ว่าจะปรับตัวลง แต่คาดว่าลงไม่ลึก และมีโอกาสไปต่อ เนื่องจากปัญหาความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ สงครามรัสเซีย-ยูเครนยังไม่จบ และตลาดคาดเฟดจะลงดอกเบี้ยลงปลายปีนี้ 2 ครั้ง  ซึ่งหากราคา Gold Spot ทะลุ 4,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และค่าเงินบาทอยู่ที่ 32.74 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จะเห็นราคาทองแท่งอยู่ที่ 65,000 บาท และถ้าปีหน้า    ราคา Gold Spot ทะลุ 4,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ตามที่โกลด์แมนแซคส์คาดการณ์ ทองแท่งจะอยู่ที่ 76,000 บาท 

นอกจากนี้ในปีหน้าจะมีการเปลี่ยนประธานเฟดและผู้ว่าเฟด ขณะที่ “ทรัมป์” ต้องการเข้ามาแทรกแซงนโยบายการเงิน ด้วยการให้ลดดอกเบี้ย และธนาคารวาณิชธกิจยังมองว่าธนาคารกลางทั่วโลกยังเข้าซื้อทองคำเป็นทุนสำรอง และการเข้าลงทุนใน ETF ทองคำยังมีต่อเนื่องจะช่วยให้ราคาทองยังไต่ระดับขึ้นได้อีก

กลยุทธ์การลงทุนประเมินกรอบแนวรับแรกที่ 3,896 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งอยู่ที่ 60,500 บาท ถ้าไม่หลุดกรอบดังกล่าวมีโอกาสดีดปรับตัวขึ้นต่อให้เล่นระยะสั้น เพราะเป็นไฮเดิมของสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ถ้าหลุดอาจจะย่อต่ออาจจะลงมา 3-4 เดือน เหมือนช่วงที่ผ่านมา และปรับขึ้น 

โดยมีแนวรับถัดมาอยู่ที่ 3,820 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งอยู่ที่ 59,300 บาท ส่วนแนวต้านแรกอยู่ที่ 4,059 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งอยู่ที่ 63,000 บาท แนวต้านถัดมาที่ 4,087 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งอยู่ที่ 63,500 บาท คิดอัตราแลกเปลี่ยน 32.74 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ 

ทั้งนี้ราคาทองคำมีโอกาสผันผวน และพักฐาน   ซึ่งเห็นว่าถ้าเป็นนักลงทุนเล่นสั้น ขาซิ่งเมื่อราคาลงซื้อ- และถ้าราคาขึ้นขายทันที แต่ถ้าลงทุนระยะกลางและยาวแนวโน้มราคาทองคำยังเป็นบวก หากราคาลงต้องรอให้ราคานิ่งก่อนแล้วค่อย ๆ ทยอยสะสม โดยราคาทองคำเป็นไปตามเหตุการณ์และสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นักลงทุนต้องอาศัยปัจจัยพื้นฐานประกอบการคาดการณ์ ทั้งเรื่องสงคราม ธนาคารกลางทั่วโลกใช้ทองเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ 

สอดรับกับ "อารีรัตน์ มุราชัย" หัวหน้านักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD  เล่าว่า ราคาทองคำ Gold Spot เดือนม.ค.อยู่ที่ 2,630 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งอยู่ที่ 42,500 บาท แต่ในเดือนต.ค.ราคา Gold Spot ขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 4,059 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งอยู่ที่ 62,350 บาท  

โดยตั้งแต่ม.ค.-ต้นต.ค.ราคา Gold Spot ขึ้น 1,429 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณ 54.35% ขณะที่ทองแท่งขึ้น 19,850 บาท หรือ 46.71% ซึ่งเฉพาะเดือนต.ค.ตั้งแต่ 1 ต.ค.-10 ต.ค. Gold Spot ขึ้นประมาณ 239 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่ทองแท่งขึ้น 3,300 บาท 

โดยแรงหนุนจากประเด็น government shutdown ในสหรัฐฯ ประกอบกับกระแสข่าวการปลดพนักงานข้าราชการ และข้อมูลเศรษฐกิจไม่มีความคืบหน้า รวมถึงเม็ดเงินลงทุนไหลเข้า ETF  และค่าเงินเยนอ่อนค่า หลัง “ซานาเอะ ทาคาอิจิ” จ่อนั่งเก้าอี้ นายกฯญี่ปุ่น มีจุดยืนสนับสนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และเตรียมใช้นโยบาย “ Yen Carry Trade"  หรือกลยุทธ์กู้ยืมเงินในสกุลเยนที่ให้ผลตอบแทนต่ำเพื่อนำไปลงทุนในสกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น เรียลบราซิล หรือดอลลาร์ออสเตรเลีย ทำให้นักลงทุนลดการถือครองเงินเยนหันไปถือครองดอลลาร์สหรัฐแทน

ขณะเดียวกันทองคำมีแรงเทขาย หลังกลุ่มอิสราเอลและฮามาสบรรลุข้อตกลงร่วมกันในการหยุดยิงทำให้ราคาทองร่วงมา 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ถ้าย่อพักตัวให้ซื้อเล่นระยะสั้น ซึ่งการเทรดทองจะต้องมีจุด Cut Loss   

ทั้งนี้มองว่าราคาทองคำย่อตัว เพื่อไปต่อ ซึ่งตลาดติดตามสถานการณ์ ชัตดาวน์ในสหรัฐฯ โดยทั้ง 2 พรรคเดโมแครตและรีพับลิกันจะมีการหารือกันอีกครั้งในวันที่ 15 ต.ค.นี้ ถ้าไม่ความคืบหน้ามีโอกาสทองคำปรับขึ้นต่อ Gold Spot  แตะที่ระดับ 3,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และอาจยืนเหนือ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์อีกครั้งและต้องยืนแน่น ๆ ประมาณ 1-2 สัปดาห์ 

แต่ถ้ายืนไม่ได้และหลุด 3,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์  มีโอกาสถอยลงมาที่ 3,860 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และ 3,820 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์  ซึ่งเป็นช่วงที่ทยอยรับซื้อสะสม ราคาทองแท่งจะอยู่ที่ 59,300-59,700 บาท สำหรับคนที่ต้องการเล่นสั้นและกลางเข้าเก็บได้ แต่ถ้าผลออกมาตรงกันข้ามได้ข้อยุติราคาทองอาจปรับตัวลง  เพราะล่าสุด สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ (BLS) เรียกพนักงานกลับจากช่วงพักงานเพื่อรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนกันยายนให้เสร็จสิ้น ดังนั้นถ้าย่อตัวลงให้ซื้อ และขอเตือนนักลงทุนอย่าไล่ราคาถ้าเข้าออกไม่ทันอาจขาดทุนได้  

ส่วนแรงหนุนทองคำถ้าตัวเลข CPI ไม่สูงอาจจะเป็นแรงกดดันให้เฟดลดดอกเบี้ย ช่วงปลายเดือนต.ค.นี้ ขณะที่เดือนพ.ย.ศาลเริ่มไต่สวน “ภาษีทรัมป์”    ด้าน "ธนาคารกลางจีน" ยังเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง เพราะจีนต้องการเป็นศูนย์กลางทองคำโลก โดยใช้เซี่ยงไฮ้เป็นฐานดึงดูดแบงก์ชาติประเทศพันธมิตรทั่วโลกให้เข้ามาซื้อ และฝากทองคำสำรองไว้ที่นี่  

แม้ว่าทองคำจะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงทั่วโลกเผชิญภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ หรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นจากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ และสงคราม  แต่ราคาทองคำยังเผชิญความผันผวนสามารถ ขึ้น-ลงแรงในระยะสั้น จากข่าวเศรษฐกิจ  นโยบายดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์   โดยการลงทุนทองคำไม่มีการจ่ายดอกเบี้ยหรือปันผล เหมือนหุ้นหรือพันธบัตร ดังนั้นการลงทุนจะต้องติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างอย่างใกล้ชิด เพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยง  โดยเฉพาะปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ ล้วนส่งผลกระทบต่อการลงทุน.... 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง