"ทรัมป์" พบหน้า "สี จิ้นผิง" ครั้งแรกในรอบ 6 ปี ได้ข้อตกลงอะไรบ้าง?

"ทรัมป์" และ "สี จิ้นผิง" สองผู้นำมหาอำนาจโลก พบหน้าในรอบ 6 ปี เกิดอะไรขึ้นบ้าง ?
30 ตุลาคม 2568 อีกหนึ่งวันที่โลกต้องจารึก เพราะสองผู้นำประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก นั่้นคือ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา "โดนัลด์ ทรัมป์" และประธานาธิบดีของจีน “สี จิ้นผิง” ได้กลับมาเจอหน้ากันแบบตัวต่อตัวอีกครั้ง พร้อมกับนั่งโต๊ะเจรจาอย่างเป็นทางการ เป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี นับจากการประชุม G20 ที่ โอซากา เมื่อปี 2562
การพบหน้ากันของสองผู้นำครั้งนี้ เกิดขึ้น ณ เมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ เป็นการประชุมที่จัดขึ้นนอกรอบการประชุมเอเปค หรือการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย–แปซิฟิก (APEC) และเป็นวันที่ทั่วโลกจับตา ท่ามกลางความตึงเครียดในการค้าโลกในช่วงที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันที่ทรัมป์ได้กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่ 2 หรือยุคของทรัมป์ 2.0 เมื่อช่วงต้นปี และมีการเดินเกมขึ้นภาษีการค้าไปยังจีนสูงสุดมากว่า 100% พร้อมกล่างอ้างว่าจีนเป็นแหล่งสำคัญของสารตั้งต้นผลิตเฟนทานิล จนเป็นสาเหตุของวิกฤตยาเสพติดในสหรัฐฯ รวมไปถึงการจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน
ขณะที่จีนเองนอกจากจะตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีการค้ากลับในระดับสูงแล้ว ยังได้ลดการซื้อสินค้าเกษตจากสหรัฐฯ รวมถึงล่าสุดไม้ตาย ไม้เด็ดที่นำออกมาใช้ และทำให้เกิดความตึงเครียดอย่างหนัก ก็คือ การคุมเข้มการส่งออกแร่หายาก หรือ rare earth เพราะผลกระทบต่อการผลิตสินค้าสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มของเทคโนโลยี ไปจนถึงอีวี และเครื่องบินรบ
แต่อย่างไรก็ตามบรรยากาศการพบหน้าของสองผู้นำเป็นไปด้วยดี และเป็นกันเอง ทรัมป์และสี จิ้นผิงได้จับมือกันต่อหน้ากล้องสื่อทั่วโลก โดยสี จิ้นผิงกล่าวว่า ดีใจที่ได้พบกันอีกครั้ง ขณะที่ทรัมป์ตอบรับว่า ดีใจเช่นกัน พร้อมบอกว่าเขามั่นใจว่าวันนี้เราจะมีการพูดคุยที่ประสบความสำเร็จแน่นอน เขาเป็นนักเจรจาที่แข็งแกร่งมาก เรารู้จักกันดีมาก
โดยทางสี จิ้นผิง ได้เปิดเผยว่า ก่อนจะมาถึงการประชุมในครั้งนี้ ทางคณะเจรจาการค้าของทั้งสองฝ่ายได้หารือกันไปแล้วที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย พร้อมกับบรรลุ “ข้อตกลงเบื้องต้น” ไว้แล้ว พร้อมกันนี้ผู้นำของจีนได้ย้ำว่า จีนและสหรัฐฯ มีโครงสร้างเศรษฐกิจและระบบต่างกัน ย่อมมีความเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่สิ่งสำคัญคือผู้นำทั้งสองต้องคุมทิศทางและรักษาเสถียรภาพของความสัมพันธ์ให้มั่นคง
พร้อมระบุว่าจีนมุ่งมั่นพัฒนาประเทศของตนเองและแบ่งปันโอกาสให้โลก เราไม่เคยต้องการท้าทายหรือโค่นล้มใคร พร้อมเสนอให้ เศรษฐกิจและการค้าเป็นเสาหลักและเครื่องผลักดันความสัมพันธ์จีน–สหรัฐฯ ไม่ใช่จุดขัดแย้ง ทั้งสองฝ่ายควรมองไปที่ภาพใหญ่ คิดถึงผลประโยชน์ระยะยาว และหลีกเลี่ยงวงจรตอบโต้กันไปมา เพราะเป็นสิ่งที่จะทำร้ายทั้งสองประเทศและเศรษฐกิจโลก
ขณะที่ทรัมป์ตอบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเป็นไปด้วยดี และจะดียิ่งขึ้นไปอีก เขาหวังว่าทั้งสองประเทศจะมีอนาคตที่สดใสกว่าเดิม
นอกจากนี้ทางสองผู้นำยังได้หารือถึงการประชุมระดับนานาชาติในปีหน้า โดยจีนจะเป็นเจ้าภาพการประชุม APEC ส่วนสหรัฐฯ จะเป็นเจ้าภาพการประชุม G20 ทั้งสองตกลงจะสนับสนุนกันและกัน และทรัมป์ยังได้เชิญสี จิ้นผิงเยือนสหรัฐฯ ในปีหน้า ขณะที่ทรัมป์เองก็มีแผนที่เดินทางเยือนจีนเช่นกัน
สำหรับการประชุมครั้งนี้ ทรัมป์ และสี จิ้นผิง ทั้งสองผู้นำใช้เวลาประชุมประมาณหนึ่งชั่วโมงสี่สิบห้านาที ก่อนจะมีคำแถลงต่อสื่อมวลชนออกมา
"ทรัมป์" และ "สี จิ้นผิง" ตกลงอะไรกันไว้บ้าง?
ผลของการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เกาหลีใต้ ครั้งนี้ เปรียบเสมือนการพักรบสงครามการค้าชั่วคราวเป็นเวลา 1 ปี เพราะเป็นการหยุดและชะลอจากมาตรการต่างๆที่สองชาติเคยนำมาใช้ในการตอบโต้กัน โดยเบื้องต้นรัฐบาลจีนตกลงที่จะชะลอการใช้ระบบควบคุมใบอนุญาตส่งออกแร่หายาก (rare-earths licensing) อย่างน้อยหนึ่งปี พร้อมกลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯเป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้ 12 ล้านตัน และในอีก 3 ปีข้างหน้าจีนจะซื้อถั่วเหลืองอย่างน้อย 25 ล้านตันต่อปี และเพิ่มความร่วมมือในการสกัดกั้นการลักลอบค้ายาเฟนทานิล
ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ ก็จะลดภาษีศุลกากรที่เคยประกาศเอาไว้ในช่วงที่ผ่านมา พร้อมด้วยการผ่อนคลายข้อจำกัดทางการค้า โดยเฉพาะข้อจำกัดการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญบางประเภท
พร้อมกันนี้ยังมีรายงานระบุด้วยว่าทางการจีนเตรียมอนุมัติการขายกิจการ TikTok สาขาสหรัฐฯ ของ ByteDance ให้กับกลุ่มทุนที่จัดตั้งโดยรัฐบาลทรัมป์ และผู้นำสหรัฐฯยังคาดว่าจะผลักดันให้จีนจำกัดการสนับสนุนรัสเซียในสงครามยูเครนอีกด้วย
ทำเนียบขาว ทางการของสหรัฐอเมริกา ได้ออกประกาศรายละเอียดของข้อตกลงการค้า ระหว่างประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง”ของจีน ระบุว่าภายใต้ข้อตกลงดังกล่าวมีประเด็นสำคัญ ประกอบไปเรื่องของแร่หายาก และเรื่องของเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งนับเป็นที่ตึงเครียดที่สุดในช่วงเวลาที่ผ่านมา
เริ่มจากการระงับมาตรการคุมเข้มการส่งออก"แร่หายาก"ชั่วคราว โดยทางการจีนจะระงับการบังคับใช้มาตรการควบคุมการส่งออกเพิ่มเติมสำหรับแร่ธาตุหายาก (Rare Earths) รวมถึงแร่ธาตุสำคัญอื่นๆ ที่เป็นกุญแจสำคัญในการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงและยุทโธปกรณ์ต่างๆ ของสหรัฐ “เป็นระยะเวลา 1 ปี” และจะออกใบอนุญาตการส่งออกตามปกติ สำหรับการส่งออกแร่ธาตุสำคัญหลายชนิด ดังนี้ แร่ธาตุหายาก (Rare Earths), แกลเลียม (Gallium), เจอร์เมเนียม (Germanium), แอนติโมนี (Antimony) และกราไฟต์ (Graphite) มาตรการใหม่นี้มีผลเทียบเท่ากับการ "ยกเลิกการควบคุมอย่างมีประสิทธิผล" ที่จีนเคยประกาศใช้ก่อนหน้านี้ในเดือนเมษายน 2568 และตุลาคม 2565
นอกจากนี้ข้อตกลงยังระบุไว้ว่า ทางการจีนจะยุติการสอบสวนบริษัทสหรัฐ ในห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ โดยกรอบข้อตกลงดังกล่าวระบุชัดเจนว่า จีนจะยุติการสอบสวนทางกฎหมายหลายประเภทที่มุ่งเป้าไปที่บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) รายใหญ่ของสหรัฐ โดยยุติการสอบสวนการต่อต้านการผูกขาด และการต่อต้านการทุ่มตลาด เจ้าหน้าที่สหรัฐระบุว่า บริษัทสหรัฐที่ได้รับผลกระทบจากการสอบสวนเหล่านี้และจะได้รับประโยชน์จากการยกเลิกมาตรการ ได้แก่ Nvidia Corp. และ Qualcomm Inc.
ขณะที่ในฝั่งของสหรัฐอเมริกา สิ่งทีรัฐบาลทรัมป์ตกลง คือ การผ่อนปรนมาตรการทางการค้า
1. ระงับภาษีบางส่วน นั่นคือ จะระงับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรแบบต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) ที่ประธานาธิบดีทรัมป์เคยสั่งเก็บจากสินค้าจีนไว้เพิ่มอีก 1 ปี
2. ระงับแผนภาษี 100% โดยสหรัฐจะระงับแผนการที่เคยขู่ไว้ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนในอัตราสูงถึง 100% ซึ่งเดิมทีกำหนดไว้ในเดือนพฤศจิกายน 2568
3. ขยายเวลายกเว้นภาษีตามมาตรา 301 ทั้งนี้ สหรัฐฯจะขยายระยะเวลาการยกเว้นภาษีภายใต้มาตรา 301 คือกฎหมายที่ให้อำนาจสหรัฐในการเก็บภาษีตอบโต้ประเทศที่ทำการค้าไม่เป็นธรรม ออกไปอีกหนึ่งปี คือ เลื่อนเป็น 10 พฤศจิกายน 2569 ซึ่งเดิมทีต้องหมดอายุลง 29 พฤศจิกายน 2568
ทำเนียบขาวระบุว่าข้อตกลงด้านการค้าและเศรษฐกิจที่บรรลุกับจีน ถือเป็น "ชัยชนะครั้งใหญ่" ในการปกป้องเศรษฐกิจของสหรัฐ และความมั่นคงของชาติ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
