รีเซต

ย้อนรอยนโยบาย 30 บาท จาก 'ทักษิณ' ถึง 'แพทองธาร'

ย้อนรอยนโยบาย 30 บาท จาก 'ทักษิณ' ถึง 'แพทองธาร'
TNN ช่อง16
3 มกราคม 2568 ( 10:51 )
20

จากบัตรทองสู่บัตรประชาชน เส้นทาง 20 ปีปฏิรูประบบสาธารณสุขไทย 


ลองนึกย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน คุณจะพบว่าระบบสาธารณสุขไทยมีช่องว่างมหาศาล ประชาชนกว่า 20 ล้านคน (คิดเป็น 30% ของประชากร) ไม่มีหลักประกันสุขภาพใดๆ เลย นั่นหมายความว่า หากป่วยหนัก อาจต้องขายบ้าน ขายที่นา หรือกู้หนี้ยืมสินเพื่อรักษาตัว คำถามใหญ่ในขณะนั้นคือ "เราจะทำอย่างไรให้คนไทยทุกคนเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างเท่าเทียม?" 


ท่ามกลางความท้าทายนี้ "นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์" ( เป็นแพทย์ชาวไทย อดีตเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และอดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท )  ได้เริ่มศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ "30 บาทรักษาทุกโรค" ตั้งแต่ปี 2533 การศึกษาของท่านชี้ให้เห็นว่า ด้วยงบประมาณเพียง 30,000 ล้านบาท เราสามารถสร้างหลักประกันสุขภาพให้คนไทยได้ทั้งประเทศ แต่น่าแปลกใจที่แนวคิดอันทรงพลังนี้กลับถูกปฏิเสธจากพรรคการเมืองแล้วพรรคการเมืองเล่า จนกระทั่ง "พรรคไทยรักไทย" นำโดย นายทักษิณ ชินวัตร เห็นศักยภาพและกล้าที่จะผลักดันให้เป็นนโยบายหลัก


"จุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์" เกิดขึ้นในปี 2545 เมื่อรัฐบาลทักษิณประกาศใช้ "พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ" และจัดตั้ง "สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)" โดยมีนายแพทย์สงวนเป็นเลขาธิการคนแรก "บัตรทอง" ที่เราคุ้นเคยจึงถือกำเนิดขึ้น กลายเป็นความหวังของคนไทยนับล้านที่เคยมองการรักษาพยาบาลเป็นเรื่องไกลตัว


แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ย่อมมาพร้อมเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งประเด็น "ภาระงานที่ท่วมท้นของบุคลากรทางการแพทย์" "รายได้โรงพยาบาลที่ลดลง" และถึงขั้นถูกเรียกว่า "30 บาทตายทุกโรค" จากฝ่ายค้าน แต่น่าทึ่งที่นโยบายนี้ยังยืนหยัดผ่านการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาได้หลายยุคสมัย


และแล้ว "จุดเปลี่ยนครั้งที่สอง" ก็มาถึงในปี 2567 เมื่อรัฐบาลนำโดย "นางสาวแพทองธาร ชินวัตร" ยกระดับเป็น "30 บาทรักษาทุกที่" แก้ปัญหาเรื้อรังเรื่อง "ใบส่งตัว" ที่เคยเป็นอุปสรรคใหญ่ของผู้ป่วย ลองนึกภาพว่าคนป่วยต้องวิ่งกลับไปขอใบส่งตัวที่โรงพยาบาลต้นสังกัด ทั้งที่บางครั้งอาการหนักจนแทบเดินไม่ไหว แต่วันนี้ เพียงบัตรประชาชนใบเดียว คุณสามารถเข้ารับการรักษาได้ที่หน่วยบริการกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ


ที่น่าสนใจคือความครอบคลุมของบริการที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตั้งแต่ "ร้านยาคุณภาพ" ที่รักษาอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยได้ถึง 32 อาการ "คลินิกพยาบาล" ที่ให้บริการพื้นฐาน ไปจนถึง "คลินิกเฉพาะทาง" ทั้งทันตกรรม กายภาพบำบัด และแพทย์แผนไทย แถมยังมีแผนพัฒนาในปี 2568 ที่จะยกระดับการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ สร้าง Care Giver 15,000 ตำแหน่ง และโครงการ "50 โรงพยาบาล 50 เขต" เพื่อคนกรุงเทพฯ 


แต่คำถามที่น่าคิดคือ เราจะรับมือกับความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้าอย่างไร? ทั้งจำนวนผู้ป่วยที่อาจพุ่งพรวด การใช้บริการเกินจำเป็น งบประมาณที่ต้องบริหารจัดการ และภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ที่อาจหนักขึ้น? 


ท้ายที่สุดแล้ว การพัฒนาจาก "30 บาทรักษาทุกโรค" สู่ "30 บาทรักษาทุกที่" ไม่เพียงสะท้อนความต่อเนื่องของนโยบายจากยุคทักษิณถึงแพทองธาร แต่ยังแสดงให้เห็นว่าระบบสาธารณสุขไทยกำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยเป้าหมายให้คนไทยทุกคนเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนในประเทศไทย หรือมีฐานะเศรษฐกิจอย่างไร สุขภาพที่ดีไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป


แม้เส้นทางข้างหน้าอาจยังมีอุปสรรคและความท้าทายรออยู่ แต่การปฏิรูประบบสาธารณสุขครั้งนี้คือก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของคนไทยทั้งประเทศ เพราะสุดท้ายแล้ว สุขภาพที่ดีไม่ควรเป็นเรื่องของโชคชะตา แต่ควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่คนไทยทุกคนควรได้รับอย่างเท่าเทียม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง