อนามัยโลกแนะใช้ 'วัคซีนแอสตราเซเนกา' แม้ในประเทศที่พบโควิด-19 กลายพันธุ์
เจนีวา, 11 ก.พ. (ซินหัว) -- เมื่อวันพุธ (10 ก.พ.) องค์การอนามัยโลก (WHO) ตัดสินว่าประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่พัฒนาโดยแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) และมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (Oxford University) นั้นมีมากกว่าความเสี่ยงที่ทุกคนทราบหรือที่ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดกลายพันธุ์ที่พบในแอฟริกาใต้
คณะที่ปรึกษายุทธศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภูมิคุ้มกัน (SAGE) ขององค์การฯ กล่าวว่าประสิทธิภาพของวัคซีนแอสตราเซเนกาจำนวน 2 โดส มีแนวโน้มสูงขึ้น หากช่วงเวลาในการฉีดวัคซีนสองเข็มนั้นห่างกันภายใน 4-12 สัปดาห์
คณะที่ปรึกษาฯ เผยว่าแม้การวิเคราะห์เบื้องต้นจากกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กในแอฟริกาใต้จะบ่งชี้ว่าประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันอาการป่วยที่ไม่รุนแรงและอาการป่วยปานกลางนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังไม่ได้อนุมัติให้มีการประเมินแบบเฉพาะเจาะจงต่อประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันอาการป่วยรุนแรง ขณะที่หลักฐานทางอ้อมบ่งชี้ว่าวัคซีนตัวดังกล่าวสามารถป้องกันโรคโควิด-19 ที่รุนแรงได้ โดยขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการทดลองทางคลินิกและการประเมินหลังการดำเนินงาน
ด้วยเหตุนี้ องค์การฯ จึงแนะนำให้ใช้วัคซีนแอสตราเซเนกาแม้ว่าโรคโควิด-19 ชนิดกลายพันธุ์ต่างๆ จะแพร่ระบาดอยู่ในประเทศนั้นๆ ก็ตาม อีกทั้งประเทศต่างๆ ควรดำเนินการประเมินทั้งประโยชน์และความเสี่ยงตามสถานการณ์ทางระบาดวิทยาในพื้นที่ รวมถึงขอบเขตของการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสกลายพันธุ์
"เราได้ให้คำแนะนำว่าแม้จะมีความเป็นไปได้ที่วัคซีนแอสตราเซเนกาจะมีประสิทธิผลลดลงในการป้องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่ออาการป่วยขั้นรุนแรง แต่ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่แนะนำให้ใช้วัคซีนตัวนี้ แม้ในประเทศที่พบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ " อเลฮานโดร กราวิโอโต ประธานคณะที่ปรึกษาฯ กล่าวสรุป
ขณะเดียวกัน คณะที่ปรึกษาฯ เตือนว่าเนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลด้านประสิทธิภาพหรือความปลอดภัยของวัคซีนต่อเด็กหรือวัยรุ่นที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนแก่บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี จนกว่าจะมีข้อมูลดังกล่าวออกมา
อย่างไรก็ดี แอฟริกาใต้ประกาศระงับการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาในประเทศชั่วคราวเมื่อไม่นานนี้ จนกว่าจะมี "ข้อมูลประสิทธิภาพทางคลินิก" เพิ่มเติมว่าสามารถป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดกลายพันธุ์ได้ โดยการตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังการศึกษาพบว่าวัคซีนดังกล่าวด้อยประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ที่พบในประเทศ