วิกฤตราคาโกโก้ ช็อกโกแลตกลายเป็นสินค้าหรู ราคาพุ่งสูงกว่า 4 เท่าตัว

ในปัจจุบัน ผู้บริโภคจำนวนมากเริ่มคุ้นชินกับราคาสินค้าที่สูงขึ้น แต่สำหรับช็อกโกแลตซึ่งเคยเป็นของหวานราคาเข้าถึงได้ กลับกำลังกลายเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย เนื่องจากราคาวัตถุดิบสำคัญอย่างโกโก้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าสินค้าอื่นๆ โดยในช่วงระหว่างปี 2022 ถึง 2025 ราคาโกโก้เพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่า ทะยานแตะระดับเกือบ 11,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมตริกตัน ซึ่งถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์ และสร้างแรงสั่นสะเทือนต่ออุตสาหกรรมช็อกโกแลตที่มีมูลค่ากว่า 120,000 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก

สาเหตุหลักของวิกฤตราคานี้มาจากปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อน เริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้เกิดฝนตกหนักผิดปกติในปี 2023 และภัยแล้งรุนแรงในปี 2024 โดยเฉพาะในประเทศแถบแอฟริกาตะวันตกซึ่งเป็นแหล่งผลิตโกโก้หลักของโลก เช่น ไอวอรี่โคสต์ กานา แคเมอรูน และไนจีเรีย พื้นที่เหล่านี้มีความเปราะบางต่อสภาพอากาศและมีการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติในระดับต่ำ ส่งผลให้ผลผลิตโกโก้ลดลงอย่างต่อเนื่อง

ไม่เพียงแต่ปัจจัยด้านอากาศเท่านั้น โรคพืชก็เป็นอีกหนึ่งแรงกดดันต่ออุปทานโกโก้ โดยเฉพาะไวรัส Swollen Shoot ซึ่งแพร่ระบาดในโกโก้ถึง 20% ของต้นในไอวอรี่โคสต์ และถึง 81% ของต้นในบางพื้นที่ของกานา ขณะเดียวกัน โรค Black Pod Disease ก็ทำให้ผลโกโก้เน่าเสีย สูญเสียผลผลิตถึง 20–90% ในแต่ละปี อีกทั้งยังทำให้ต้นโกโก้ตายถึง 10%

ผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อยุโรปเป็นพิเศษ เนื่องจาก 96.5% ของโกโก้ที่สหภาพยุโรปนำเข้าในปี 2023 มาจากประเทศที่มีความเปราะบางทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำให้ผู้ผลิตช็อกโกแลตในยุโรปเริ่มกังวลเรื่องคุณภาพและปริมาณของโกโก้ โดยมีการปฏิเสธการรับโกโก้จากบางพื้นที่ ส่งผลให้ราคายิ่งพุ่งสูงขึ้นอีก

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากแนวโน้มโลกร้อนยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีการลดการปล่อยคาร์บอน ผลกระทบต่อพืชอาหารทั่วโลก รวมถึงช็อกโกแลต กาแฟ ข้าว ข้าวโพด และถั่วเหลือง จะยิ่งรุนแรงขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างระบบอาหารกับวิกฤตภูมิอากาศที่ทุกคนควรตระหนัก