รีเซต

ถ้าคนติดเชื้อเพิ่มน้อยกว่า คนที่ฆ่าตัวตายวันใด รัฐจะกล้าปลดล็อคดาวน์ไหม?

ถ้าคนติดเชื้อเพิ่มน้อยกว่า คนที่ฆ่าตัวตายวันใด รัฐจะกล้าปลดล็อคดาวน์ไหม?
มติชน
23 เมษายน 2563 ( 10:56 )
108
ถ้าคนติดเชื้อเพิ่มน้อยกว่า คนที่ฆ่าตัวตายวันใด รัฐจะกล้าปลดล็อคดาวน์ไหม?

 

ตอนที่โคโรน่าไวรัสเริ่มระบาดชัดเจนในประเทศไทย ในเดือนมกราคม 2563 ถ้าท่านทั้งหลายยังจาเหตุการณ์ได้ดีว่าการจัดการรับมือของรัฐบาลไทยกับโรคระบาดที่หน้าตาใหม่สุดนี้มีลักษณะหันรีหันขวางอยู่เป็นนาน มีทั้งข่าวการทุจริตคอร์รัปชั่นในเรื่องหน้ากากอนามัย ทาให้เกิดการขาดแคลนอย่างหนักในประเทศ มีข่าวการขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2563 องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ได้เรียกร้องให้รัฐบาลแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในข่าวดังกล่าว

 

เพื่อสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาให้กับประชาชนนั้นถัดมาในวันอังคารที่ 10 มีนาคม คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติมาตรการที่เป็นเรื่องเป็นราวเป็นครั้งแรกในการเข้ามาดูแลผลกระทบต่อเศรษฐกิจและประชาชนจากไวรัสโคโรน่า ระยะที่ 1 ซึ่งประกอบด้วยมาตรการต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นมาตรการด้านภาษีและด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และเป็นครั้งแรกที่ ครม. ได้เห็นชอบให้กาหนดวงเงิน 20,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมไว้สาหรับช่วยเหลือเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ

 

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศต่างๆทั่วโลกได้เริ่มใช้มาตรการปิดเมืองหรือล็อคดาวน์ (Lockdown) ตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม แต่การต่อสู้กับโควิด 19 ของรัฐบาลไทยก็ยังหน่อมแน้มอยู่ และแล้วในวันที่ 25 มีนาคม ท่านนายกรัฐมนตรีก็ได้ตัดสินใจประกาศใช้ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยตัวท่านนายกรัฐมนตรีเข้ามาทาหน้าที่บัญชาการจัดการไวรัสโควิด 19 ทุกมิติอย่างเต็มตัว ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม – 30 เมษายน 2563บัดนี้การบริหารตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินกาลังจะครบเดือนแล้ว

 

โดยประเทศได้อยู่ในระบบล็อคดาวน์เต็มที่ และก็ปรากฎผลชัดเจนแล้วว่า การระบาดของโคโรน่าไวรัสในประเทศไทยได้กลับตัวดีขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกือบจะเป็นปกติแล้ว โดยได้รับคาชมจากประเทศอื่นๆทั่วโลก ขณะนี้จานวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มแต่ละวันกาลังลดลงใกล้จะเป็นตัวเลขตัวเดียวแล้ว แต่สิ่งใหม่ที่กาลังจะเกิดขึ้นซึ่งประชาชนทุกหมู่เหล่าที่อดทนและอึดอัดกันมานานกาลังพูดถึงมากในขณะนี้ คือ “การปลดการล็อคดาวน์” ออกไป

 

ดูเหมือนว่าเมื่อมีมิติใหม่เข้ามาคราใด รัฐบาลไทยจะออกอาการพะวักพะวงและหันรีหันขวางเสียทุกที ฟังตามข่าวที่ท่านนายกได้มอบให้ท่านรองนายกอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งรับผิดชอบเป็นเจ้ากระทรวงสาธารณสุขไปเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาเรื่องการปลดล็อคดาวน์ ผลออกมาแล้ว

 

สรุปได้ว่าจะแบ่งพื้นที่ทั้งประเทศเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ บางจังหวัดอาจปลดล็อคดาวน์หลังสิ้นเดือน
เมษายนนี้ บางจังหวัดเป็นกลางเดือนพฤษภาคม และกลุ่มสุดท้ายเป็นต้นเดือนมิถุนายน

 

ถ้าหากรัฐบาลเห็นด้วยตามนี้ ก็เท่ากับว่าเป็นการรับฟังตามคณะกรรมการที่เป็นหมอเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็น่าจะมีเหตุผลเพราะบุคลากรที่ใส่เสื้อกาวน์ของประเทศเป็นผู้ที่ควรยกย่องมากที่สุด ในการทุ่มเทต่อสู้เพื่อเอาชนะโควิด 19 อย่างที่ได้เห็นชัดเจนกันแล้ว

 

แต่อย่างไรก็ตาม ควรที่ท่านนายกรัฐมนตรีจะต้องรับฟังความเห็นจากบุคคลฝ่ายอื่นด้วย โดยเฉพาะจากนักเศรษฐศาสตร์และนักธุรกิจทั้งหลาย เพราะเขารู้ดีว่า การล็อคดาวน์ที่ประชาชน ยอมให้นามาใช้เพื่อต่อสู้กับไวรัสร้ายนี้ ในอีกด้านหนึ่งได้ทาความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจของ ประเทศ วันหนึ่งๆร่วม 20,000 ล้านบาท หรือเดือนหนึ่งประมาณ 560,000 ล้านบาท ดังนั้น จะฟังความข้างเดียวคงไม่ได้แน่

 

การประมาณการความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการที่ประเทศถูกล็อคดาวน์ทาได้ไม่ยากขอให้ไล่ดูผลกระทบ (Disruption) แต่ละสาขาการผลิตก็พอรู้ เช่น การท่องเที่ยวทั้งหมดเกือบ 100% การคมนาคมไม่รวมการขนส่งสินค้า 90% การค้าปลีกและส่งโดนหนักอาจถึง 70% การบันเทิงและ สันทนาการ 90% การผลิตด้านอุตสาหกรรม 25% การเกษตรอาจถูกกระทบน้อยเพียง 20% เป็นต้น

 

สรุปแล้วผลกระทบจากล็อคดาวน์ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 40% ของ GDP ปกติ
คิดเป็นตัวเงินแบบง่ายๆ ผลผลิตประชาชาติหรือ GDP ของไทยในปี 2562 มีมูลค่าทั้งสิ้น 16.8 ล้านล้านบาท หรือ เดือนละ 1.4 ล้านล้านบาท ถ้าความเสียหายทางเศรษฐกิจในช่วง ล็อคดาวน์มีแค่ 40% ของ GDP ความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อเดือนจะมากถึง560,000 ล้านบาท

 

อย่างแน่นอน หากรวมค่าเยียวยาที่รัฐบาลต้องกู้เงินมาชดเชยให้แก่ประชาชนด้วย ซึ่งในอนาคตก็จะเป็นภาระแก่ลูกหลานคนไทยทุกคน จะทาให้ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการขยายการล็อคดาวน์ออกไปเพียงเดือนเดียวเทียบเคียงได้เท่ากับความเสียหาย จากโครงการรับจานาข้าวเปลือกสมัย 6 ปีที่แล้วทั้งโครงการเชียวละ ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ

 

ดังนั้นหากรัฐบาลตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องนี้ก็จะทาความเสียหายให้แก่ประเทศชาติเป็นเงินมหาศาล จะมาอ้างเป็นความผิดของนโยบายคงไม่ได้ง่ายนัก

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง