GDP ญี่ปุ่นขยายตัว 2.8% ตลาดคาด BoJ มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ย

#หุ้นต่างประเทศ #ทันหุ้น – บทวิเคราะห์ โดย บล.เอเซียพลัส
Christopher Waller ผู้ว่าการเฟด (Fed Governor) ระบุว่า ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดสนับสนุนให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ และหากเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวคล้ายปี 2024ธนาคารกลางสามารถกลับมาปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ "ในบางช่วงของปีนี้"
อย่างไรก็ตาม Waller แสดงความเห็นว่าตัวเลข (เงินเฟ้อ) ที่รายงานออกมาในสัปดาห์ก่อนค่อนข้างน่าผิดหวัง แต่เน้นย้ำว่าคาดการณ์สำหรับดัชนีราคาการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญนั้น ได้แสดงภาพที่ผ่อนคลายมากกว่า โดย Waller ตั้งข้อสังเกตว่าเงินเฟ้อที่สูงช่วงต้นปีอาจเกิดจากปัญหาการปรับฤดูกาล (Residual Seasonality) ซึ่งเป็นประเด็นที่ธนาคารกลางต้องติดตาม
นอกจากนี้ Waller ยังเตือนว่าการรอความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจลดลงก่อนดำเนินนโยบายอาจทำให้เฟด "เป็นอัมพาตเชิงนโยบาย" ขณะเดียวกัน Waller มองว่าผลกระทบจากนโยบายภาษีของรัฐบาลทรัมป์ต่อเงินเฟ้ออาจมีอยู่บ้าง แต่จะเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวและอาจถูกหักล้างด้วยมาตรการอื่นที่ช่วยหนุนอุปทาน ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หยุดทำการวานนี้เนื่องในวันประธานาธิบดี (Presidents' Day)
ด้านตลาดหุ้นยุโรป STOXX600 +0.54% ในวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่พุ่งขึ้น 4.4% เป็นการเพิ่มขึ้นรายวันมากที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ.2022 นำโดย Rheinmetall (RHM) ที่พุ่งขึ้น 14.03% หลังจากมีสัญญาณว่ายุโรปอาจเพิ่มงบประมาณกลาโหม หลังการประชุม Munich Security Conference เลขาธิการ NATO Mark Rutte กระตุ้นให้สมาชิกยุโรปเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหม
GDP ญี่ปุ่นขยายตัว 2.8% Annualized QoQ มากกว่าไตรมาสก่อนที่ 1.7% และที่ตลาดคาดที่ 1.1% โดยได้รับแรงหนุนหลักจากการส่งออกสุทธิ (Net exports) อย่างไรก็ตาม การบริโภคภาคเอกชนแม้จะขยายตัว 0.5% แต่ชะลอลงอย่างมากจากไตรมาสก่อน (3.0%) สะท้อนแรงกดดันจากเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ หลังดัชนีราคาผู้บริโภคของญี่ปุ่น (National CPI) มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในเดือน ม.ค. สอดคล้องกับเครื่องชี้ด้านราคาเบื้องต้นทั้งในส่วนของ Tokyo CPI และ PPI ที่ออกมาสูงกว่าเดือนก่อนและมากกว่าที่ตลาดคาด ทำให้ตลาด (Bloomberg consensus) คาดว่าตัวเลขเงินเฟ้อ (National CPI) ที่จะมีรายงานในวันศุกร์นี้ (21 ก.พ.) จะขยายตัว 4.0% YoY จากระดับ 3.6% เดือนก่อน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (CPI ex fresh food) คาดอยู่ที่ 3.1% จากเดือนก่อนที่ 3.0% ทั้งนี้ หากตลาดการเงินยังมองว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BoJ เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป คาดยังไม่สร้างแรงกดดันอย่างมีนัยยะต่อการปรับตัวลงของตลาดสินทรัพย์เสี่ยง
-ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงจัดประชุมกับผู้นำธุรกิจเอกชน โดยเน้นย้ำบทบาทสำคัญของภาคเอกชนต่อเศรษฐกิจจีน และยอมรับถึงความท้าทายที่ภาคธุรกิจกำลังเผชิญ พร้อมให้คำมั่นว่าจะลดอุปสรรคด้านต้นทุนทางการเงิน การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และแนวปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมของภาครัฐ เช่น ค่าปรับและการตรวจสอบที่เกินจำเป็น การประชุมนี้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณเชิงบวกจากผู้นำจีนเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของภาคเอกชน หลังจากช่วงที่มีการควบคุมเข้มงวดในหลายอุตสาหกรรมและผลกระทบจากนโยบาย Zero-COVID
.
หุ้น Tencent (700 HK) +4.34%พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี หลังจาก DeepSeek AI เปิดให้บริการบน WeChat โดยเทคโนโลยี AI นี้ถูกนำมาใช้กับ WeChat Search เพื่อเพิ่มศักยภาพในการค้นหาและตอบคำถาม ส่งเสริมความมั่นใจของนักลงทุน ขณะที่องค์กรภาครัฐและเอกชนในจีนเริ่มนำไปใช้งาน
การเปิดตัวของ DeepSeek AI ช่วยให้ Tencent ได้เปรียบในตลาด AI และกดดันคู่แข่งอย่าง Baidu (-6.94%) ซึ่งเผชิญแรงขายทำกำไร นอกจากนี้ DeepSeek R1 reasoning chatbot ซึ่งเปิดตัวเมื่อ 20 ม.ค. 2025 อาจเปลี่ยนอุตสาหกรรม AI โดย Goldman Sachs คาดว่า AI จะช่วยเพิ่มกำไรสุทธิต่อหุ้นของบริษัทจีนได้ราว 2.5% ต่อปีในทศวรรษหน้า
ฝ่ายกลยุทธ์ฯ มอง Tencent เป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูงของจีน ด้วยโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่งและกระจายตัวดีในหลายอุตสาหกรรม การนำ DeepSeek AI เข้ามาเสริมใน Weixin ไม่เพียงช่วยเพิ่มขีดความสามารถของแพลตฟอร์ม แต่ยังเป็นตัวเร่งการเติบโตใหม่ (New Growth Catalyst) ที่ช่วยให้ Tencent แข่งขันได้ดีขึ้นในยุค AI เนื่องจาก Weixin ที่เป็นมากกว่าแอปแชท เปรียบได้คือ Super App ที่สร้างรายได้หลายช่องทาง โดย Weixin เป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานกว่า 1.3 พันล้านคน และเป็นหนึ่งใน Super App ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในจีน Tencent สามารถสร้างรายได้จากหลายช่องทางภายใน Weixin ได้แก่ Weixin Pay ระบบชำระเงินที่เป็นคู่แข่งของ Alipay และใช้ในธุรกรรมทุกประเภท, Mini Programs ระบบที่ช่วยให้ร้านค้าและธุรกิจต่างๆ สร้างมาร์เก็ตเพลสโดยไม่ต้องใช้แอปแยก, Weixin Search & Ads ระบบโฆษณาที่แสดงผลจากข้อมูลพฤติกรรมผู้ใช้, Weixin Channels แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่แข่งกับ Douyin (TikTok เวอร์ชันจีน) ดังนั้น การนำ DeepSeek AI มาผสานกับ Weixin จะช่วยให้ทุกส่วนใน Ecosystem แข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะ Search, Ads และ E-commerce ความเสี่ยงที่ต้องระวังในการลงทุน 1) ความไม่แน่นอนของกฎระเบียบจีน ️2) การแข่งขันที่รุนแรงใน AI, Cloud และ Games 3) แนวโน้มเศรษฐกิจจีนและการบริโภคที่ชะลอตัว
.
Baidu (BIDU US, 9888 HK) มีกำหนดการณ์ที่จะประกาศงบไตรมาส 4 ปี 2024 ในวันนี้ (18 ก.พ.) โดย Bloomberg Consensus ประเมินรายได้จะหดตัว -4.48% YoY และกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) -34.87% YoY ซึ่งในส่วนรายได้หลักจาก Baidu Core (กลุ่มธุรกิจหลักของ Baiduประกอบไปด้วยธุรกิจอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยี AI มีสัดส่วนมากกว่า 70% ของรายได้รวม) คาด -25.78% YoY และรายได้จาก iQIYI (แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งวิดีโอออนไลน์ของจีน มีสัดส่วนราว 20% ของรายได้รวม) คาด -9.59% YoY
.
Dell กำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการปิดดีลมูลค่ากว่า $5 พันล้านกับ xAI บริษัทปัญญาประดิษฐ์ของ Elon Musk เพื่อจัดหาเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ใช้ชิป Nvidia GB200 โดยมีกำหนดส่งมอบภายในปี 2025ข้อตกลงนี้สะท้อนถึงการขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI อย่างต่อเนื่องของ xAI ซึ่งกำลังสร้าง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Colossus ในเมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี ปัจจุบันมี GPU 100,000ตัว และมีแผนเพิ่มเป็น 1 ล้าน GPU Dell และ Super Micro จะเป็นผู้จัดหาเซิร์ฟเวอร์แร็ค ขณะที่ Nvidia เป็นซัพพลายเออร์ชิปรายหลัก การลงทุนครั้งนี้ทำให้เมมฟิสกลายเป็นศูนย์กลางAI แห่งใหม่ของสหรัฐฯ พร้อมแผนตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพิ่มเติมในพื้นที่ นอกจากนี้ Musk ยังลงทุนขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI ในหลายบริษัทในเครือ เช่น Tesla และ X โดยเดือนที่แล้ว Hewlett Packard Enterprise บรรลุข้อตกลงมูลค่ากว่า $1พันล้านกับแพลตฟอร์ม X เพื่อจัดหาเซิร์ฟเวอร์ AI เช่นกัน
ฝ่ายกลยุทธ์ฯ มองว่า หากข้อตกลงของ Dell Technologies กับ xAI ของ Elon Musk เกิดขึ้นจริง ถือเป็นดีลที่มีนัยสำคัญเพราะแสดงให้เห็นถึงการขยายตัวของอุตสาหกรรม AI และบทบาทของ Dell ในฐานะซัพพลายเออร์หลักสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับสูง ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนดังต่อไปนี้
1) กระแส AI และโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น ด้วยตลาด AI ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในฝั่งของ Data Center และ High-Performance Computing (HPC) ซึ่ง Dell กำลังเร่งขยายตัว โดยชิป Nvidia GB200 เป็นเทคโนโลยีระดับไฮเอนด์ที่องค์กรต้องการใช้งาน ส่งผลให้ Dell อาจได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มเติมจากบริษัทอื่นๆ
2) เสริมความแข็งแกร่งในตลาด AI Infrastructure ซึ่งปัจจุบัน ตลาดเซิร์ฟเวอร์ AI ถูกครองโดย HPE, Super Micro และ Dell ซึ่งดีลนี้จะช่วยให้ Dell สามารถแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น เมื่อพิจารณาถึงแนวโน้มของ AI Cloud และ Supercomputing Infrastructure บริษัทที่สามารถจัดหาโซลูชันครบวงจรจะได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของอุตสาหกรรม
3) โอกาสเติบโตระยะยาวจาก Mega AI Projects การที่ Dell เป็นหนึ่งในพันธมิตรของโครงการ Colossus ซึ่งวางแผนเพิ่ม GPU จาก 100,000 เป็น 1 ล้านตัว เป็นสัญญาณของความต้องการเซิร์ฟเวอร์ AI ในระดับมหาศาล โครงการนี้อาจนำไปสู่คำสั่งซื้อเพิ่มเติม และ Dell อาจได้ประโยชน์ในฐานะผู้ให้บริการ AI Data Center Solutions
นอกจากดีลมูลค่า $5 พันล้าน กับ xAI ที่ช่วยเสริมโอกาสในตลาด AI Infrastructure แล้ว ยังมีอีกสองปัจจัยสำคัญที่อาจหนุนการเติบโตของ Dell ในระยะกลางถึงยาว ได้แก่ 1) AI Device & AI PC Dell มีโอกาส ครองตลาด AI PC ซึ่งเป็นโน้ตบุ๊กและพีซีที่ฝัง AI Accelerator (เช่น ชิป Intel Core Ultra, AMD Ryzen AI, หรือ Qualcomm Snapdragon X Elite และ 2) การอัพเกรด PC & Notebook หลัง Windows 10 หยุดอัปเดต หลัง Microsoft ประกาศว่า Windows 10จะหมดอายุในเดือนตุลาคม 2025ซึ่งคอมพิวเตอร์ที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 (เช่น ไม่มี TPM 2.0 หรือ CPU รุ่นเก่า) จะต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่ โดยพีซีจำนวนมากที่ใช้ในองค์กรและธุรกิจจะต้องถูกอัปเกรด
.
ความเสี่ยงที่ต้องระวัง 1) การพึ่งพา Nvidia และต้นทุนชิปที่สูงขึ้น ซึ่ง Dell จำเป็นต้องพึ่งพาNvidia GB200ซึ่งหากซัพพลายมีปัญหา อาจกระทบต่อการส่งมอบเซิร์ฟเวอร์ 2) การแข่งขันจาก HPE และ Super Micro โดย Hewlett Packard Enterprise (HPE) เพิ่งปิดดีล $1พันล้านกับแพลตฟอร์ม X ของ Musk ซึ่งหมายความว่า Dell ไม่ได้เป็นซัพพลายเออร์แต่เพียงผู้เดียว 3) แนวโน้มเศรษฐกิจและความต้องการ AI ที่อาจเปลี่ยนแปลง หากกระแส AI ลดลงในอนาคต หรือตลาดเข้าสู่ภาวะอิ่มตัว อาจทำให้ยอดขายเซิร์ฟเวอร์ชะลอตัว และ 4) ปัญหาด้านซัพพลายเชนและการส่งมอบสินค้า การที่ Dell ต้องผลิตและส่งมอบสินค้ามูลค่ามหาศาลภายในระยะเวลาอันสั้นอาจเผชิญกับความเสี่ยงเรื่อง Supply Chain Disruption