รีเซต

"เนสท์เล่" เลิกจ้างครั้งใหญ่ 16,000 คน ปรับโครงสร้าง

"เนสท์เล่" เลิกจ้างครั้งใหญ่ 16,000 คน ปรับโครงสร้าง
TNN ช่อง16
17 ตุลาคม 2568 ( 12:56 )
12

เนสท์เล่ ยักษ์ใหญ่ด้านอาหารและเครื่องดื่มจากสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ระดับโลกอย่าง KitKat, Nespresso และ Maggi ประกาศปรับโครงสร้างองค์กรครั้งสำคัญ โดยเตรียมลดจำนวนพนักงานทั่วโลกกว่า 16,000 ตำแหน่งภายใน 2 ปีข้างหน้า หรือคิดเป็น ร้อยละ 5.8 ของพนักงานทั้งหมดราว 277,000 คนทั่วโลก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและลดต้นทุนในระยะยาว

Philipp Navratil ซีอีโอคนใหม่ของเนสท์เล่ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา กล่าวถึงทิศทางใหม่ของบริษัทว่า โลกธุรกิจกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเนสท์เล่จำเป็นต้องปรับตัวให้ทันต่อการแข่งขัน โดยการตัดลดพนักงานครั้งนี้ถือเป็นการตัดสินใจที่ยากแต่จำเป็น เพื่อสร้างองค์กรให้คล่องตัวและมีสมรรถนะสูงขึ้น

Philipp Navratil ยังได้ปรับเพิ่ม เป้าหมายการประหยัดต้นทุนรวมเป็น 3,000 ล้านฟรังก์สวิส หรือราว 1.2 แสนล้านบาท ภายในสิ้นปี 2027 จากเดิมที่ตั้งไว้ที่ 2,500 ล้านฟรังก์สวิส

จากแผนลดพนักงานดังกล่าว มีจำนวน 12,000 ตำแหน่งในสายงานออฟฟิศ และอีก 4,000 ตำแหน่งในสายการผลิตและซัพพลายเชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้เกิด องค์กรแห่งประสิทธิภาพ ตามแนวนโยบายของซีอีโอคนใหม่

การประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่เนสท์เล่กำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก ทั้งจากต้นทุนที่สูงขึ้น หนี้สินที่เพิ่มต่อเนื่อง และผลกระทบจาก ภาษีนำเข้าสินค้าสวิสในสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกปรับขึ้นเป็นร้อยละ 39 ตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาสินค้าและอัตรากำไรถูกบีบลง ขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทก็ลดลงต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม หลังการประกาศแผนดังกล่าว ราคาหุ้นเนสท์เล่ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ในการซื้อขายช่วงเช้าวันพฤหัสบดี สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนว่าการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวครั้งใหญ่ภายในองค์กร

บริษัทระบุว่า การเติบโตของยอดขายในไตรมาสล่าสุดเพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.5 ในส่วนของ Real Internal Growth (RIG) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการเติบโตของปริมาณขายจริง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เพียงร้อยละ 0.3 ขณะที่ยอดขายแบบออร์แกนิก ที่ไม่รวมผลกระทบจากค่าเงินและการควบรวมกิจการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ร้อยละ 3.7

ในรายงานผลประกอบการ เนสท์เล่ ระบุว่า การเติบโตของยอดขายมาจากกลุ่มสินค้ากาแฟและขนมหวานเป็นหลัก โดยเฉพาะ Nespresso และ KitKat ที่ยังคงสร้างรายได้โดดเด่น ส่วนตลาดจีนกลับเป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโต หลังยอดขายในจีนลดลงจากการกระจายสินค้าเกินความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งผู้บริหารฝ่ายการเงินของเนสท์เล่ระบุว่า บริษัทจะเร่งปรับกลยุทธ์โดยเน้นการสร้างความต้องการของผู้บริโภคมากกว่าการขยายช่องทางจำหน่าย

สำหรับทิศทางในอนาคต เนสท์เล่จะดำเนินการทบทวนเชิงกลยุทธ์ในหลายธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มน้ำดื่มและเครื่องดื่มพรีเมียม รวมถึง วิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีอัตราการเติบโตต่ำ เพื่อปรับพอร์ตธุรกิจให้เหมาะสมกับตลาดโลกในระยะกลางและยาว

Philipp Navratil กล่าวว่า เป้าหมายสูงสุดในตอนนี้คือการขับเคลื่อนการเติบโตที่นำโดยปริมาณขาย (RIG-led growth) และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ พร้อมผลักดันให้ทีมงานแข่งขันเพื่อชัยชนะในตลาดโลก

บริษัทเนสท์เล่ ยังคงยืนยันเป้าหมายภาพรวมปี 2025 โดยคาดว่าอัตราการเติบโตของยอดขายออร์แกนิกจะดีกว่าปี 2024 และตั้งเป้าอัตรากำไรจากการดำเนินงานไว้ที่ร้อยละ 16 ขึ้นไป ขณะที่ในระยะกลางคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อยร้อยละ 17 โดยแผนการประหยัดต้นทุนหลักจำนวน 3,000 ล้านฟรังก์สวิส จะเริ่มเห็นผลชัดเจนในปี 2026–2027 และคาดว่าจะประหยัดได้ราว 700 ล้านฟรังก์สวิสในปี 2025

การปรับโครงสร้างครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเนสท์เล่ ภายใต้การนำของซีอีโอคนใหม่ ที่ตั้งใจฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน สร้างองค์กรที่มีสมรรถนะสูง และปลุกไฟแห่งการฟื้นตัวให้กลับมาสว่างอีกครั้งในอาณาจักรอาหารระดับโลกจากสวิตเซอร์แลนด์แห่งนี้ 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง