รีเซต

เทียบสถานการณ์น้ำไทย 5 ปี ปี 2568 น้ำมากสุด กรุงเทพฯเอาอยู่

เทียบสถานการณ์น้ำไทย 5 ปี ปี 2568 น้ำมากสุด กรุงเทพฯเอาอยู่
TNN ช่อง16
10 พฤศจิกายน 2568 ( 12:19 )
7

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญทั้งภัยแล้ง น้ำหลาก และพายุเขตร้อนหลายระลอก โดยเฉพาะผลจากเอลนีโญและลานีญาที่เปลี่ยนรูปแบบฝนทั่วประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลจากกรมชลประทานและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติระบุว่า ปริมาณน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ 35 แห่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง และปี 2568 ถือเป็นปีที่น้ำมากที่สุดในรอบครึ่งทศวรรษ ขณะที่กรุงเทพมหานครซึ่งอยู่ปลายน้ำเจ้าพระยาสามารถควบคุมระดับน้ำได้อยู่ภายใต้การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ

ภาพรวมปริมาณน้ำในเขื่อน 5 ปี

  • ปี 2563 ประเทศไทยเพิ่งผ่านพ้นภัยแล้งรุนแรง น้ำกักเก็บปลายปีอยู่ที่ 43,153 ล้านลูกบาศก์เมตร (61%) น้ำไหลลงเขื่อนทั้งปี 27,438 ล้านลูกบาศก์เมตร ต่ำกว่าปี 2562 ประมาณ 1,916 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นปีที่รัฐบาลต้องเน้นออมน้ำเพื่อรักษาระดับในหน้าแล้ง
  • ปี 2564 ฝนกลับมามากขึ้น น้ำไหลลงเขื่อนสะสม 46,294 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเกือบ 70% น้ำกักเก็บปลายปีอยู่ที่ 53,248 ล้านลูกบาศก์เมตร (75%) เขื่อนใหญ่หลายแห่ง เช่น ภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยบำรุงแดน และป่าสักชลสิทธิ์ มีน้ำอยู่ในช่วง 79–97% ของความจุ
  • ปี 2565 เกิดปรากฏการณ์ลานีญาและพายุหมุนเขตร้อนหลายลูก รวมถึงพายุโนรู ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ พื้นที่น้ำท่วมจากภาพถ่ายดาวเทียมอยู่ที่ 5.33 ล้านไร่ เขื่อนเจ้าพระยาต้องระบายน้ำสูงสุดในรอบหลายปีที่ 2,500–3,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อป้องกันน้ำล้นเขื่อน
  • ปี 2566 เป็นปีเอลนีโญ ฝนลดลงทั่วประเทศ น้ำไหลลงเขื่อนเฉลี่ยต่ำสุดในรอบ 4 ปี พื้นที่น้ำท่วมลดลงเหลือ 0.68 ล้านไร่ หลายเขื่อนมีน้ำต่ำกว่า 50% ของความจุ ประเทศเข้าสู่ช่วงเสี่ยงภัยแล้ง
  • ปี 2567 ฝนกลับมามากอีกครั้ง น้ำไหลลงเขื่อนสะสม 47,223 ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำในเขื่อนสิ้นปี 56,459 ล้านลูกบาศก์เมตร (80%) เขื่อนแควน้อยบำรุงแดนเกินความจุที่ 101% และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์อยู่ที่ 98% ต้องเพิ่มการระบายเชิงรุกและผันน้ำเข้าสู่คลองชลประทานทั้งสองฝั่งเพื่อป้องกันผลกระทบ
  • ปี 2568 ถึงเดือนพฤศจิกายน เขื่อนหลักลุ่มเจ้าพระยาทั้ง 4 แห่งมีระดับน้ำเฉลี่ย 90–98% ของความจุ ได้แก่ เขื่อนภูมิพล 97–98%, สิริกิติ์ 97%, แควน้อยบำรุงแดน 101%, ป่าสักชลสิทธิ์ 97–101% ขณะที่ฝนสะสม 8 เดือนแรกสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 10.3% ถือเป็นปีที่มีน้ำมากที่สุดในรอบ 5 ปี

การระบายเขื่อนเจ้าพระยาและสถานี C2 นครสวรรค์

เขื่อนเจ้าพระยามีขีดความสามารถรองรับการไหลผ่านได้สูงสุด 3,300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่ในทางปฏิบัติจะควบคุมให้อยู่ระหว่าง 2,000–2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อรักษาความปลอดภัยของพื้นที่ท้ายน้ำ

สถานี C2 นครสวรรค์เป็นจุดรวมของแม่น้ำปิง วัง ยม และน่าน ใช้วัดมวลน้ำก่อนเข้าสู่ภาคกลางตอนล่าง ในปี 2554 ค่าสูงสุดที่บันทึกได้คือ 3,721 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2554

ส่วนปี 2568 วันที่ 6 ตุลาคม ตัวเลขอยู่ที่ 2,748 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ก่อนลดลงเหลือราว 645 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ในต้นเดือนพฤศจิกายน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับควบคุมได้

เพื่อบรรเทาคลื่นน้ำที่ไหลผ่าน เขื่อนเจ้าพระยาใช้การระบายแบบขั้นบันไดและผันน้ำเข้าสู่คลองชลประทานทั้งสองฝั่งรวม 590 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แบ่งเป็นฝั่งตะวันออก 140 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และฝั่งตะวันตก 236 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ผ่านคลองสำคัญ เช่น คลองชัยนาท–ป่าสัก คลองมะขามเฒ่า–อู่ทอง และแม่น้ำท่าจีน–แม่น้ำน้อย

น้ำเหนือ น้ำหนุน น้ำฝน สามปัจจัยหลักที่กรุงเทพฯ ต้องรับมือ

น้ำเหนือจากเขื่อนเจ้าพระยาเดินทางถึงปทุมธานีระยะทางประมาณ 139 กิโลเมตร ใช้เวลาเฉลี่ย 2.5 วัน การบริหารการระบายต้องสอดคล้องกับระดับน้ำที่สถานี C2 เพื่อป้องกันไม่ให้คลื่นน้ำเหนือเข้าสู่กรุงเทพฯ พร้อมกับช่วงน้ำหนุนทะเล

ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2568 ฐานน้ำทะเลอยู่ที่ +1.37 เมตร ระหว่างวันที่ 6–10 พฤศจิกายน และ +1.40 เมตร ระหว่างวันที่ 5–10 ธันวาคม เหนือระดับทะเลปานกลาง ซึ่งเป็นช่วงที่การระบายน้ำออกสู่อ่าวไทยทำได้ช้าลง ส่งผลให้พื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น ถนนพระราม 3 ตลาดน้อย ทรงวาด สามเสน และซังฮี้ ต้องเสริมแนวป้องกันพิเศษ

สำหรับฝนในเขตเมือง ปี 2568 มีปริมาณเฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 10% แต่ไม่ตกต่อเนื่องหลายวันเหมือนปี 2554 ทำให้ระบบระบายน้ำของกรุงเทพฯ สามารถพร่องน้ำได้เร็วกว่าเดิม

สถานการณ์กรุงเทพฯ และปริมณฑลรายปี

  • ปี 2563 ไม่เกิดน้ำท่วมใหญ่ เพราะน้ำในเขื่อนอยู่ระดับปานกลาง
  • ปี 2564 ท่วมเฉพาะบางพื้นที่จากฝนปลายปี แต่ยังควบคุมได้
  • ปี 2565 ฝนเดือนกันยายน–ตุลาคม รวมกันราว 800 มิลลิเมตร มากกว่าค่าเฉลี่ย 30 ปีที่ 320 มิลลิเมตร เกือบ 3 เท่า พื้นที่นอกคันกั้นน้ำหลายแห่งได้รับผลกระทบ
  • ปี 2566 น้ำท่วมลดลงเหลือน้อยที่สุดในรอบ 5 ปี แต่ภัยแล้งเริ่มชัด
  • ปี 2567 ฝนและน้ำหนุนเพิ่มสูง เกิดน้ำท่วมในเขตลุ่มต่ำบางพื้นที่ เช่น เขตดอนเมือง จอมทอง และพระโขนง
  • ปี 2568 กรุงเทพมหานครใช้บทเรียนจากปี 2565 ปิดจุดเสี่ยง 737 จุด ขุดลอกคลองกว่า 1,000 แห่ง เพิ่มเครื่องสูบน้ำกว่า 200 เครื่อง และเดินเครื่อง 24 ชั่วโมง เสริมแนวกั้นชั่วคราวในพื้นที่ต่ำ สามารถรับน้ำไหลผ่านสูงสุดได้ถึง 3,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยไม่เกิดน้ำล้นในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ

พายุหมุนเขตร้อนและผลต่อฝนทั่วประเทศ

  • ปี 2565 มีพายุเขตร้อนและไต้ฝุ่นรวม 6 ลูก โดยพายุโนรูสร้างผลกระทบหนักที่สุด
  • ปี 2568 พบพายุรวม 5 ลูก ได้แก่ วูทิป คาจิกิ หนงฟา บัวลอย และแมตโม รวมถึงพายุคัลแมกีที่ทำให้ฝนตกหนักในภาคเหนือและอีสานตอนบน พื้นที่น้ำท่วมรวม 4.85 ล้านไร่ แม้ต่ำกว่าปี 2565 แต่ยังถือว่าสูง

เปรียบเทียบกับมหาอุทกภัยปี 2554

ปี 2554 สถานี C2 บันทึกน้ำไหลผ่านสูงสุด 3,721 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที สร้างความเสียหายกว่า 1.44 ล้านล้านบาท ขณะที่ปี 2568 แม้ระดับน้ำในเขื่อนใหญ่ใกล้เคียง แต่ผลกระทบต่ำกว่าอย่างชัดเจน เนื่องจาก

  • ปริมาณฝนทั้งปีต่ำกว่าปี 2554 ประมาณ 18%
  • ระบบระบายน้ำและคันกั้นน้ำในกรุงเทพฯ ได้รับการปรับปรุง
  • การผันน้ำสองฝั่งเจ้าพระยาทำงานเต็มประสิทธิภาพ
  • ระบบเตือนภัยเข้าถึงพื้นที่มากกว่า 80% ของจุดเสี่ยง

แนวทางจัดการน้ำจากข้อมูล 5 ปี

ระยะสั้น ใช้ข้อมูลเรียลไทม์จากสถานี C2 และพยากรณ์ฝน 3–10 วัน เพื่อปรับกรอบการระบายให้ยืดหยุ่นตามระดับน้ำเหนือและน้ำหนุนทะเล

ระยะกลาง เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่อระบายน้ำ คลอง ประตูระบายน้ำ คันกั้นน้ำ และพื้นที่สีเขียวซับน้ำ เพื่อเพิ่มความสามารถรองรับฝนหนักระยะสั้น

ระยะยาว พัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลน้ำแบบบูรณาการ เชื่อมต่อหน่วยงานส่วนกลางกับท้องถิ่น และระบบแจ้งเตือนภัยแบบพื้นที่ ทำให้ประชาชนปรับตัวได้ทันในภาวะอากาศสุดขั้ว

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง