“พิชัย”ชูโปรเจกต์แลนด์บริดจ์เชื่อมมหาสมุทร”แปซิฟิค-อินเดีย”ดึงนักลงทุน

“พิชัย”ชูโปรเจกต์แลนด์บริดจ์เชื่อมมหาสมุทร”แปซิฟิค-อินเดีย”ดึงนักลงทุน ชี้ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์เป็นโอกาส ระบุ ไทยมีศักยภาพทั้งการเติบโตและภูมิประเทศ
#ทันหุ้น นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวในนงาน Ignite Thailand : Invest in Endless Opportunities ซึ่งจัดโดยบีโอไอว่า ในปีนี้จีดีพีของไทยจะสามารถก้าวผ่านระดับ 3% ได้อย่างสบาย โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากการลงทุน ที่ไทยมีศักยภาพในการเป็นซัพพลายเชนของโลกได้ แต่ระดับการเติบโตดังกล่าว ไม่ได้เป็นเป้าหมายในระยะยาวของไทย ซึ่งเป้าหมายของรัฐบาลต้องการผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัว 3 -3.5% ซึ่งถือเป็นศักยภาพตามปกติของภูมิภาคนี้
เขากล่าวว่า การลงทุนจะเป็นเครื่องจักรสำคัญของการผลักดันเศรษฐกิจไทย โดยในปี 2567 มีคำขอส่งเสริมการลงทุนกับบีโอไอสูงถึง 3 หมื่นล้านเหรียญ สูงสุดในรอบ 10 ปี ซึ่งนักลงทุนที่ขอการส่งเสริมการลงทุนแล้ว ต้องการเร่งการลงทุนจริงให้เร็วขึ้น คาดว่า ใช้เวลา 3 ปีบวกลบในการลงทุน
สาเหตุที่นักลงทุนต้องการเร่งการลงทุน เนื่องจาก ซัพพลายเชนในโลกถูกสะดุดลง จากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งประเทศไทย ถือว่าอยู่ในทำเลที่ตั้งที่ดี ที่มีตลาดรอบประเทศไทยรวมกันราว 700 ล้านคน
นอกจากนั้น ทำเลที่ตั้งของประเทศไทย ยังเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างสองมหาสุมทรที่สำคัญ คือ แปซิฟิค และมหาสมุทรอินเดีย ที่เป็นแหล่งสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติที่คนต้องการซื้อและเป็นตลาดขนาดใหญ่
“รัฐบาลมีแนวความคิดที่จะผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อเชื่อมโยงสองฝั่งมหาสมุทรดังกล่าว เพื่อประโยชน์ทางการค้า และสามารถเชื่อมโยงกับทางรถไฟในประเทศไทย ไปจากทางเหนือจนถึงทางใต้ของประเทศ ทำให้ไทยเป็น Location ที่ดี”
นอกจากนั้น ไทยยังเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงภัยทางธรรมชาติที่ต่ำกว่าหลายประเทศ สะท้อนได้จากอัตรา Insurance rate ของไทยอยู่ในระดับที่ต่ำ และไทยยังเป็นประเทศที่กล่าวได้ว่าเป็น Conflict Free Zone
เขายังกล่าวถึงข้อดีของประเทศไทย ในการเป็นแหล่งดึงดูดการลงทุนอีกว่า ไทยมีเสถียรภาพในระบบไฟฟ้า มีกำลังไฟฟ้าส่วนเกินเหลือประมาณ 1 หมื่น เม็กกะวัตต์ ,มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ แม้ที่ผ่านมา จีดีพีอาจขยายตัวต่ำ แต่โชคดีที่เรามีเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงเกิน 2 แสนล้านเหรียญ คิดเป็น 3 เท่าของหนี้ระยะสั้นของประเทศ และเรายังมีสภาพคล่องเหลือในระบบอีก 4 ล้านล้านบาท และระบบสถาบันการเงินของไทยแข็งแกร่ง
ในแง่ของกำลังแรงงานของประเทศ ไทยมีประชากรราว 70 ล้านคน แม้ว่าเราได้เข้าสู่สังคมสูงอายุแล้วก็ตาม แต่เรายังมีกำลังแรงงานสูงถึง 40 ล้านคน และรัฐบาลยังมีนโยบายในการนำเข้าแรงงานในทักษะที่ยังขาด รวมถึงการสร้างบุคลากรในสาขาที่ยังขาด ไม่ว่าจะเป็นสาขา Bio engineering และสาขา Digital เป็นต้น
ในด้านกฎระเบียนของการลงทุนในประเทศนั้น นายพิชัย กล่าวว่า เราได้พยายามปรับปรุงเพื่อให้การทำธุรกิจในประเทศง่ายขึ้น ซึ่งในเฟสแรกของการปรับปรุง คือ จะทำในลักษณะ One Stop Service เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน แต่ในขั้นตอนต่อไป เราจะปรับปรุงกฎหมายต่างๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจมีการยกเลิกกฎหมายที่ไม่จำเป็น