รีเซต

โบรกชี้หุ้นไทยเดือนพ.ย.ไปต่อ! ปัจจัยบวกใน-นอกประเทศหนุน ชู 8 หุ้นเด่นมีตัวไหนบ้าง เช็กเลย

โบรกชี้หุ้นไทยเดือนพ.ย.ไปต่อ!  ปัจจัยบวกใน-นอกประเทศหนุน ชู 8 หุ้นเด่นมีตัวไหนบ้าง เช็กเลย
TNN ช่อง16
1 พฤศจิกายน 2568 ( 17:23 )
9

ตลาดหุ้นไทยต.ค.ปิดที่ 1,309 จุด ปรับตัวขึ้น 2.7% จาก 1,274 จุด ณ สิ้นเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา โดยปัจจัยหนุนมาจาก  

  • รายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย อิง งบ 3Q25 ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กำไรออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดเกือบทุกบริษัท และเห็นสัญญาณบวกจาก Asset Quality ดี    เป็นปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่มธนาคารปรับขึ้นยกแผง  และทำให้เกิดคาดการณ์ว่าจะเห็นกลุ่ม Real Sector อื่น ๆ ที่จะทยอยประกาศงบจะออกมาดีเช่นกัน
  •  มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งจะเป็น Upside หนุน GDP 4Q25   ทั้ง มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวภายใน “เที่ยวดีมีคืน” และ  ครม. อนุมัติงบกลาง ฉุกเฉิน 6,169 ล้านบาท การจ่ายเงินเยียวยาน้ำท่วม ครัวเรือนละ 9,000 บาท
  •   สหรัฐฯ - จีนสามารถตกลงกันได้  ส่งผลให้ประเด็นการค้าโลกคลี่คลาย ลด Downside การปรับลดการค้าในช่วงปลายปีนี้และปี 69  
  •  กลุ่มชิ้นส่วนหนุน SET Index ขึ้นหลัก ๆ มาจากหุ้น  DELTA  ฟื้นตัวตามหุ้นเทคฯ สหรัฐฯรายงานกำไรเด่น ทำให้มีแรงเก็งกำไรก่อนรายงานงบ 4Q25 จะประกาศ  ซึ่งไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง  โดยกำไร DELTA  ออกมาดีกว่าคาดมากผสานกับให้ Outllok งวด 4Q25 โดดเด่นต่อเนื่อง 
  •  กระทรวงพาณิชย์ประกาศตัวเลขส่งออก ก.ย. ขยายตัว 19% จากตลาดคาดอยู่ที่ 7-7.2% ทำให้ตลาดประเมินทิศทางเศรษฐกิจยังดี ประเมิน GDP Growth ไตรมาส 3/68  ที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะรายงานมีโอกาสดีกว่าที่คาด หนุนโอกาสลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.น้อยลง    

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทย เดือน พ.ย. จะไปต่อมากน้อยแค่ไหน มีปัจจัยบวกลบอะไรที่ต้องติดตามบ้าง และหุ้นตัวไหนมีอนาคตที่สดใส แนวโน้มผลประกอบการดี และน่าลงทุนเข้าซื้อเติมพอร์ต ในวันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูตลาดทุนกันค่ะ

เริ่มจาก ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA, CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี   ฉายภาพว่า ตลาดหุ้นไทย เดือน พ.ย.  คาดแกว่งไซด์เวย์-ไซด์เวย์อัพ ประเมินแนวต้านแรกที่  1,324 จุด แนวต้านถัดไปที่ 1,337  จุด แนวรับแรกที่  1,299 จุด แนวรับถัดไปที่ 1,287 จุด   โดยมีปัจจัยหนุนมาจากภายนอก คือ สภาพคล่องส่วนเกินหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ   หลังประชุม Fed ปลายเดือน ต.ค.ที่ผ่านมาได้ ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25%  สู่กรอบ 3.75%-4.0% ผสานการยุติมาตรการ QT(สำหรับพันธบัตรและหลักทรัพย์ค้ำประกันจำนอง (MBS) ที่ครบอายุจากเดิมที่ Fed จะปล่อยให้หมดอายุ และจะนำเงินก้อนใหม่มาต่ออายุ)  

ด้วยภาพเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากภาคแรงงานมีสัญญาณชะลอประเมินความคาดหวัง Fed จะลดดอกเบี้ยต่อเนื่องรอบประชุม ธ.ค. นี้  และปี 69  จะถ่วง Dollar Index หนุนสภาพคล่องโดยรวม   และเม็ดเงินมีโอกาสไหลมายังสินทรัพย์ฝั่ง Assets ที่ยังอยู่ในโซน Value อิง Forward Equity Risk Premium ไทย, ฮ่องกง และจีนสูงเป็นอันดับ 1-3 ของโลก 6.84%, 5.94% และ 4.53% ตามลำดับ 

ทั้งนี้ทำให้มีโอกาสเม็ดเงินจะสลับเข้ามาตลาดหุ้นไทยและมีแนวโน้มเร่งขึ้นในช่วงปลายปี  หลังจากมีสัญญาณบวก คือกระแสการปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP Growth ไทยปีนี้  ต่อเนื่อง โดย คลังคาดการณ์จีดีพีโต 2.4%  ผสานกับ Market EPS ปี 68  มองทรงตัวหรือมีโอกาสปรับขึ้นเล็กน้อย ล่าสุดอยู่ที่ 88.8 บาทต่อหุ้น หลังจากกลุ่มธนาคารรายงานงบเกือบทั้งหมดเด่นและดีกว่าคาด แรงขับเคลื่อนคุณภาพสินทรัพย์ที่ออกมาในทางบวก สะท้อนภาพเศรษฐกิจและกำไร บจ. ที่กำลังผ่านจุดต่ำสุด 

ทั้งนี้คาดว่ากลุ่มอื่น ๆที่ จะทยอยประกาศมีโอกาสทรงตัว หรือดีในทางเดียวกัน อาทิ กลุ่มพลังงานที่จะมีแรงส่งการบันทึก Stock Loss ลดลงของกลุ่มโรงกลั่น ต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลงต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า ผสาน กลุ่มสื่อสารที่ยังอยู่ในช่วง Upycle ประเมินกรอบกำไร 3Q25-4Q25 ที่จะต้องสูงใกล้ค่าเฉลี่ย 2.4-2.5 แสนล้านบาทต่อไตรมาส เพื่อให้กำไรตลาดทั้งปีสอดคล้อง KSS คาดที่ 87 บาท มีความเป็นไปได้   บ่งชี้ภาพ SET ยังอยู่ในโซน Value ทำให้คาดการณ์ว่า กลุ่มรายงานกำไรเด่นจะสลับขึ้นหนุนตลาด 

รวมถึงกลุ่มที่จะมีโมเมนตัมต่อจากแรงส่งนโยบายรัฐฯ อาทิ การแก้หนี้ครัวเรือน นโยบายพลังงานหนุน Data Center ฝั่ง Infra Tech พร้อมรับโอกาส AI CAPEX cycle ระลอกใหม่ของโลก นอกจากนี้ แรงส่งตลาดจะเร่งขึ้น หากนโยบายตลาดทุนมีความชัดเจนในส่วนที่ช่วยให้เม็ดเงินลงทุนระยะยาวภายในใหม่เข้ามาเพิ่มเติม เช่น โครงการออมหุ้นลดหย่อนภาษี (TISA) ที่เพิ่มจากกองทุนลดหย่อนที่มีในปัจจุบัน เป็นต้น

 

 

 

ปัจจัยบวกลบที่ต้องติดตาม

  • 5 พ.ย. ติดตามผลการประกาศการ Rebalance ดัชนี MSCI รอบใหม่ โดยคาดการ Rebalance
  •  5 พ.ย. เงินเฟ้อ CPI ไทย ต.ค.   
  • 7 พ.ย. คาดการณ์เงินเฟ้อ 1 ปีข้างหน้า พ.ย.   (เบื้องต้น)  ของสหรัฐฯ  ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) U of Michigan พ.ย.  (เบื้องต้น) 
  • 9 พ.ย. ติดตามรายงานเงินเฟ้อ CPI  เดือนก.ย. ของจีน 
  • 14 พ.ย.  ราคาบ้านมือหนึ่ง ก.ย. ของจีน และราคาบ้านมือ 2  
  • 14 พ.ย.   รายงานกิจกรรมเศรษฐกิจเดือน ก.ย. โดยเฉพาะ ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม, ดัชนีค้าปลีก, การลงทุนสินค้าคงทน และการลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์
  • 14 พ.ย. ยอดค้าปลีก ต.ค. ของสหรัฐฯ
  • 17 พ.ย. รายงาน GDP ไทย งวด 3Q25 ของไทย
  • ติดตามการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลเพิ่มเติม เรื่องหลักที่ออกมาเพิ่มเติม
  • มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน
  • นโยบาย Quick-win พลังงาน 
  • มาตรการ เน็ตคนละครึ่ง
  • การผลักดันนโยบายด้านอื่นๆ เช่น ศูนย์กลางการบิน
  • รายละเอียดเพิ่มเติมการเจรจาการค้าสหรัฐฯ – ไทย
  •  ติดตามรายงานผลประกอบการงวด 3Q25F ของเรียลเซกเตอร์

  กลยุทธ์การลงทุนแนนำ หุ้นเด่น 

•  ADVANC (TP25F-350): คาดงบ 3Q25 ออกมา New High โตy-y, q-q ผสานเป็นหุ้น High Yield

 •  KTB (TP25F-30.0) : เป้าหมายของ Flow ต่างชาติ Consensus Upgrade GDP ไทย

•  SCB (TP25F-45) :   คาดเป้าหมายของ Flow ต่างชาติผสานกระแส Consensus Upgrade GDP Growth ไทย และปันผลสูงสุดในกลุ่มธนาคาร

ฝั่ง ภราดร เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส สะท้อนภาพให้เห็นว่า  ตลาดหุ้นไทยในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ต.ค.) เม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไต้หวันซื้อสุทธิ 5,600 ล้านเหรียญสหรัฐ และเกาหลีใต้ที่ 2,300 ล้านเหรียญสหรัฐ  ยกเว้นตลาดหุ้นเวียดนามขายสุทธิ 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดหุ้นไทยขายสุทธิ  3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ อินโดนีเซียขายสุทธิ  2,600 ล้านเหรียญสหรัฐ และตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ขายสุทธิ 750 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นเกาหลีใต้บวกร้อนแรง 71% เวียดนามบวก 30% ไต้หวันบวก 23% อินโดนีเซียบวก 15% ขณะที่ฟิลิปปินส์ดัชนีลง 9% ไทยดัชนีลง 6% 

แม้ว่าหุ้นไทยจะถูกเทขายหนักประมาณ 9 หมื่นกว่าล้านบาท แต่ในเดือนต.ค.ที่ผ่านมานักลงทุนขายหุ้นไทยลดลงเหลือประมาณ 3,800 ล้านบาท โดยสาเหตุที่หุ้นปรับตัวลงแรงในช่วงครึ่งปีแรก เพราะเกิดสถานการณ์แผ่นดินไหว ปัญหาความไม่สงบระหว่างไทย-กัมพูชา  ไทยเกิดสุญญากาศทางการเมือง และเรื่องคดีชั้น 14  แต่หลังจากนั้นเมื่อก้าวเข้าสู่ในช่วงครึ่งปีหลัง ดัชนีฟื้นตัวกลับขึ้นมา 16% เมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ ผ่อนคลายลง

ส่วนตลาดหุ้นในเดือนพ.ย.คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น คาดว่าแกว่งไซด์เวย์อัพ  มาจาก 2 ปัจจัยหลักคือนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐเริ่มเห็นผลชัดเจนเป็นรูปธรรม เช่น คนละครึ่งพลัส  ท่องเที่ยวภายในประเทศ ขณะที่คลังปรับเป้าจีดีพีครึ่งปีหลังจาก 1.6% เป็น 1.8% และทั้งปีจีดีพีโต 2.4% จากเดิม 2.2%  

  2. แนวโน้มเงินบาทแข็งค่า เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดมีการใช้นโยบายที่ตึงตัวเพิ่มขึ้น หนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐหรือบอนด์ยีลด์พุ่งยืนเหนือ 4% ทำให้ฟันด์โฟลว์ให้เข้าตลาดหุ้นไทย  โดยประเมินกรอบแนวรับ 1,275 จุด แนวต้านที่  1,350-1,360 จุด

 ปัจจัยที่ต้องติดตาม

  •  government shutdown ว่าจะยืดเยื้อต่อไปหรือไม่ จากเดิมที่ชัตดาวน์ในสหรัฐฯ เคยทำสถิติสูงสุด 34 วัน ดังนั้นตลาดคาดว่าจะได้ข้อยุติภายใน 16 พ.ย.นี้ ถ้ายังไม่ได้ข้อสรุปถือว่าเป็นการชัตดาวน์ที่นานเป็นประวัติศาสตร์ 
  •  ศาลฎีกาสหรัฐฯ กำหนดพิจารณาคดีภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันที่ 5 พ.ย. นี้ หลังจากที่ศาลชั้นต้น และอุทธรณ์มีคำตัดสินว่า ทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต โดยอาศัยกฎหมายว่าด้วยอำนาจเศรษฐกิจระหว่างประเทศในภาวะฉุกเฉิน (International Emergency Economic Powers Act - IEEPA) ในการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าทั่วโลก ซึ่งจะต้องดูว่าผลการตัดสินจะออกมาอย่างไร ซึ่งจะทำให้ตลาดเกิดความผันผวน 
  • MSCI Rebalance เดือนพ.ย. จะคัดเลือกหุ้น เข้า-ออก ดัชนีรอบใหม่ ต้องดูว่ามีหุ้นไทยตัวไหนบ้าง

กลยุทธ์การลงทุนแนะนำ

  • หุ้น CPF  ราคาเป้าหมาย 24.50 บาท   P/E 6 เท่า หมดเทศกาลกิจเจ ราคาหมูหน้าฟาร์มเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น 
  • หุ้น BLA  ราคาเป้าหมาย (คอนเซนซัส)  22.40 บาท    P/E 6 เท่า รับบอนด์ยีลด์ไทย-บอนด์ยีลด์โลกเพิ่มขึ้น 
  • หุ้น OR  ราคาเป้าหมาย 18 บาท คาดงบไตรมาส 3/68 ดีขึ้น จากไตรมาส 3/67 ขาดทุน และอาจกลับเข้า MSCI LARGE CAP 
  • หุ้น SCGP  ราคาเป้าหมาย 23  บาท 
  • หุ้น BANPU ราคา LAGGARD ราคาอ้างอิง TENDER หุ้น BPP อยู่ที่ 6.20 บาท 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง