เจาะลึก Proof of Stake กลไกบล็อกเชนไร้ตัวกลาง สร้างโอกาสกำไร

#Blockchain #ทันหุ้น - หลักการทำงานของ บล็อกเชน (Blockchain) คือเทคโนโลยีที่สามารถทำงานได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านตัวกลางเหมือนกับระบบการเงินในปัจจุบันที่มีหลักการ รวมศูนย์ (Centralized) แต่มันอาศัยผู้ที่มีส่วนร่วมในบล็อกเชนเพื่อช่วยยืนยันการทำธุรกรรม ทำให้ระบบไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนใดคนหนึ่งหรือองค์กรใดองค์หนึ่ง
รูปแบบการยืนยันธุรกรรมบล็อกเชนเริ่มต้นจาก บิทคอยน์ (Bitcoin) ที่ใช้แนวคิดของ Proof of Work (PoW) หรือการลงแรงเพื่อยืนยันการทำธุรกรรม โดยจะต้องลงทุนกับเครื่องประมวลผลหรือเครื่องขุดบิทคอยน์ ซึ่งรูปแบบดังกล่าวต้องใช้เงินลงทุนสูง ทั้งการลงทุนกับอุปกรณ์และการดูแลรักษา โดยผลตอบแทนที่ได้คือบิทคอยน์
Proof of Stake: วิวัฒนาการสู่การมีส่วนร่วมที่ยั่งยืน
บล็อกเชนยุคต่อมาจึงได้พัฒนามาสู่แนวคิด Proof of Stake (PoS) หรือหลักการมีส่วนร่วมโดยไม่จำเป็นต้องลงทุนกับฮาร์ดแวร์ เพียงแค่ถือ โทเคน (Token) ของบล็อกเชนนั้นๆ และทำการ Staking หรือถือบน Mainnet ของบล็อกเชนนั้นๆ ก็จะถือว่ามีส่วนร่วมในการช่วยยืนยันธุรกรรมแล้ว
แนวคิดของ Proof of Stake มักจะถูกพัฒนาโดยบล็อกเชนรุ่นใหม่อย่างเช่น Ethereum ซึ่งเป็นเชนที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุด เชนอื่นๆ อย่างเช่น Solana และ Avalanche ได้ชูจุดเด่นในเรื่องของความเร็วในการทำธุรกรรมตลอดจนค่าธรรมเนียมที่ถูกลง
สำหรับผลประโยชน์ของผู้ที่ทำการ Staking โทเคนที่อยู่ในแนวคิดของ Proof of Stake คือ ผลตอบแทนในรูปแบบคล้ายกับเงินปันผล โดยหากบล็อกเชนนั้นมีมูลค่าการทำธุรกรรมที่สูงขึ้นหรือมีการใช้งานเชนที่มากขึ้น ผลตอบแทนที่ได้จากการ Staking ก็จะสูงขึ้นด้วย
Proof of Stake มักจะถูกใช้งานใน DApp(Decentralized Application) อย่างเช่น DeFi(Decentralized Finance), GameFi (Gaming Finance) รวมถึง NFT (Non-Fungible Token) ทำให้สามารถพัฒนาแอปพลิเคชันที่มี Smart Contract (สัญญาอัจฉริยะ) ในตัวเองได้ ทำให้ได้รับความนิยมในหมู่นักพัฒนาเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
